SEO คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ อยากให้ธุรกิจปังใช้ SEO ช่วยได้อย่างไรบ้าง

ในตอนนี้คำว่า SEO น่าจะเป็นสิ่งที่พวกเราได้ยินกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามีความสำคัญกับธุรกิจออนไลน์ เป็นตัวช่วยให้ลูกค้ารู้จัก และเห็นธุรกิจของคุณเพิ่มมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว SEO คืออะไร ช่วยธุรกิจได้ในแนวทางไหน ทำไมจำเป็นต้องมี SEO Specialist คอยช่วยดูแลธุรกิจคุณ? และต้องทำอย่างไรถ้าต้องการใช้เครื่องมือนี้เข้ามาเสริมธุรกิจให้แข็งแกร่ง เราเตรียมคำตอบมาให้คุณครบทุกมิติที่นี่เรียบร้อยแล้ว

SEO คืออะไร สายธุรกิจออนไลน์ต้องรู้!

คำถามยอดฮิตอย่าง SEO คืออะไร เราเตรียมคำตอบมาให้คุณเรียบร้อยแล้ว! SEO คือ Search Engine Optimize เป็นการทำให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการรองรับการติดอันดับในการค้นหาบน Google โดยไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกแบบ เนื้อหา ก็สามารถปรับเพิ่ม SEO เข้าไป เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณนั้นติดอันดับการค้นหาบน Google ได้สูงมากที่สุด เพื่อดึงคนเข้ามาชม อ่าน รู้จัก ไปจนถึงซื้อสินค้าและบริการ ดังนั้นการทำ SEO คือแนวทางการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณนั่นเอง

โดยมีการสำรวจจาก Highervisibility พบว่าผู้ค้นหานั้นจะเลือกคลิกที่เว็บไซต์ที่อยู่หน้าแรกมากที่สุดถึง 95% และถ้าเว็บของคุณอยู่อันดับแรกจะได้รับการคลิกมากถึง 32% อันดับที่สอง 16% และอันดับที่สาม 10% ดังนั้นยิ่งอยู่อันดับต้น ๆ มากเท่าไร ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณมากขึ้นเท่านั้น

ทำไม? SEO คือตัวช่วยที่สำคัญในโลกธุรกิจ

การค้นหาแล้วเจอเว็บไซต์ของคุณเป็นอันดับต้น ๆ หรือประโยชน์ของการทำ SEO ที่มีอะไรมากกว่าแค่การที่คนได้เห็น และรู้จักคุณบ้าง วันนี้เราเตรียมความสำคัญว่า SEO คือตัวช่วยที่สำคัญอย่างไรในโลกธุรกิจมาฝากกัน

SEO คือ ประตูให้ผู้คนมาเจอธุรกิจของคุณ

ในปัจจุบันถือว่าน้อยมากที่คนจะมุ่งตรงเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อคนต้องการค้นหาอะไรก็จะค้นผ่าน Search Engine เป็นหลัก และเลือกรับข้อมูลตามที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็น ดังนั้นเมื่อคนเห็นเว็บไซต์ของคุณ และคลิกเข้ามาก็จะเริ่มเกิดการรับรู้ มีปฏิสัมพันธ์ และเกิดเป็นการกระทำตามเป้าหมายที่คุณวางเอาไว้

SEO คือ ตัวช่วยให้คุณเจอกลุ่มลูกค้าที่ตรงกลุ่มมากขึ้น

ถ้าไม่มีความสนใจก็มีโอกาสน้อยมากที่คนเราจะลุกขึ้นมาค้นหา ดังนั้นการที่พวกเขาค้นหาในคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ นั่นก็หมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็นลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายที่คุณกำลังมองหา เมื่อเจอเข้ากับข้อมูล หรือบรรดาบทความ SEO คือด่านแรกที่จะทำให้คุณได้เพิ่มโอกาสในการคว้าพวกเขามาเป็นลูกค้า

SEO คือ ทางเลือกที่ต่างจากโฆษณา

แม้ว่าจะจัด SEO เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการตลาด แต่มีความแตกต่างกับการโฆษณาตรงที่ คนที่ค้นหาคีย์เวิร์ดมีความตั้งใจที่จะหาข้อมูล หรือซื้อมากกว่าคนที่เห็นโฆษณา เพราะการโฆษณานั้นเป้นการคาดการณ์ว่าคนบางกลุ่มจะเป็นลูกค้าเป้าหมายของคุณ แต่ SEO คือการที่ลูกค้าแสดงตัวว่าคือเป้าหมายของคุณนั่นเอง ดังนั้นยิ่งถ้าทำควบคู่กันไปได้จะช่วยให้คุณเจอการกำหนดเป้าหมายที่ใช่ง่าย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

SEO คือ ทางที่ทำให้เราเห็นคู่แข่งชัดขึ้น

การทำ SEO มักเลือกใช้ SEO Specialist คือ กลุ่มคนที่มีความชำนาญในเรื่อง SEO เป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ได้ชิงตำแหน่งที่หน้าแรกของการค้นหาเท่านั้น แต่ต้องการเป็นอันดับหนึ่งในการค้นหา เพราะสถิติที่ผ่านมาชัดเจนมากว่ายิ่งอยู่อันดับสูงเท่าไร ยอด Click Through Rate (CTR) หรือจำนวนต่อการแสดงผลยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อได้ทำ SEO จะทำให้คุณเห็นผู้ที่ติดการค้นหาอันดับต่าง ๆ ในคีย์เวิร์ดเดียวกับคุณ และพวกเขาคือคู่แข่งที่คุณต้องเอาชนะ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดมาให้ได้นั่นเอง จุดนี้จะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์การตลาด เกาะเทรนด์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อ SEO Content คือแนวทางที่ใช่ ต้องใช้อย่างไร เสริมธุรกิจให้ปัง

สำหรับแนวทางการทำ SEO ให้ปัง และช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ มีหลายองค์ประกอบที่คุณต้องวางแผน ดังนั้นเมื่อตัดสินใจแล้วว่า SEO คือ แนวทางที่ใช่ ต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อปั้นแบรนด์มาดูกัน

1. เข้าใจประเภทหลัก ๆ ของ SEO

หลัก ๆ แล้วจะแบ่ง SEO ออกเป็น On-Page และ Off-Page ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้

  • SEO On Page คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ ซึ่งคุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แบ่งการทำเพื่อคิดคะแนนให้ติดอันดับ SEO เป็น 3 กลุ่ม คือ เนื้อหาบนเว็บไซต์, โครงสร้างเว็บไซต์ และการเขียนโค้ดหลังบ้าน
  • Off Page SEO คือ ปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ทั้งความน่าเชื่อถือ การลิงก์มาจากเว็บภายนอก คนที่เข้ามาใช้งาน และแหล่ง Social Media ต่าง ๆ มีเกณฑ์การให้คะแนนคือ ความน่าเชื่อถือ, ทำ Backlink ลิงก์ที่มีคุณภาพ, เนื้อหาที่ตอบโจทย์กลุ่มคนที่ค้นหาในแต่ละประเทศ และการถูกแชร์ใน Social Media

2. ปรับแต่ง URL

เรื่องสำคัญที่หลายคนละเลยของการทำ SEO นั่นคือการทำ URL  เราควรออกแบบ URL ให้เป็นมิตร เข้าใจง่าย ค้นหาสะดวก เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน การปรับแต่งให้ URL เข้าใจง่ายจะช่วยให้คนค้นหาเจอง่ายขึ้น เข้าถึงสินค้าได้มากขึ้น จำ URL ได้ และยังแชร์ต่อได้ง่ายขึ้นอีกด้วย แนะนำว่าเน้นทำให้กระชับ ตรงความหมาย ใช้ “ – ” ในการแบ่งส่วน เลือกใช้เฉพาะภาษาอังกฤษตัวพิมพ์เล็ก เลี่ยง “a” “an” หรือ “the” และพยายามใส่คุณสมบัติเช่น สี แบรนด์ ขนาดเข้าไป

3. ตั้งชื่อสินค้าและบริการให้รองรับการค้นหา

SEO คืออะไร สําคัญอย่างไร เรารู้กันไปแล้ว แต่ถ้าคุณทำทุกอย่างแต่พลาดในจุดที่ตั้งชื่อสินค้าในแบบเฉพาะตัวที่ค้นหายากเกินไป อาจทำให้ประสิทธิภาพของ SEO ลดลงได้ หลักการตั้งชื่อที่ดีที่สุดคือ ตั้งด้วยคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและติดอันดับ ตามด้วยคุณสมบัติ มีจำนวนความยาวคำที่เหมาะสมคือไม่เกิน 60 ตัวอักษร

4. ไม่ลืมอธิบายสินค้า

คำอธิบายช่วยเพิ่มคุณภาพของ SEO และยังช่วยให้ปิดการขายได้ง่ายมากขึ้น ถ้าคุณไม่ถนัดเรื่องนี้สามารถหาบริษัทรับจ้างทำ SEO คือ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำให้กับคุณได้ ถือว่าช่วยประหยัดเวลา และใช้เทคนิคเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น

5. ใส่ภาพประกอบช่วยได้

เมื่อมีภาพทุกอย่างจะเข้าใจง่ายขึ้น ดึงดูดขึ้น และยังทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย เพราะจะได้รับคะแนนจาก Google ในส่วนนี้เพิ่ม โดยแนะนำว่าควรใส่คำอธิบายภาพเข้าไปด้วย เพื่อให้ภาพประกอบของคุณเพิ่มโอกาสในการติดอันดับการค้นหา เป็นอีกหนึ่งช่องทางให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงคุณได้

6. เลือก Heading Tag ให้เหมาะ

ส่วนนี้เป็นการจัดเนื้อหาเพื่อเรียงลำดับความสำคัญให้อ่านง่าย เข้าใจได้เร็ว การจัด Heading Tag ให้เหมาะสมเป็นการติดโค้ดให้ Bot ของ Google เข้ามาเก็บข้อมูลเรื่องหัวข้อต่าง ๆ ของคุณได้ง่ายขึ้น ยิ่งถ้าใส่คีย์เวิร์ดเอาไว้ที่หัวข้อยิ่งมีส่วนช่วยเสริมประสิทธิภาพในเรื่องนี้

7. แต่ง Meta Title และ Description

ข้อมูลทั้งสองอย่างนี้จะโชว์อยู่ที่หน้าการค้นหา การเขียนส่วนนี้ให้ดีมีส่วนช่วยดึงความสนใจ เพิ่มโอกาสในการคลิก และควรใส่คีย์เวิร์ดในส่วนนี้ด้วย เพราะถือว่ามีผลกับ SEO โดยตรง

ความแตกต่างของ SEO SEM คืออะไร

เราได้เข้าใจว่ากันไปแล้ว SEO คืออะไร และแนวทางการทำ SEO มีกี่แบบ แต่อาจมีคำว่า SEM แทรกเข้ามาระหว่างการหาข้อมูลการทำ SEO ดังนั้นเรามาเจาะข้อมูลเพิ่มเติมกันดีกว่า เพราะอาจเป็นจุดที่เพิ่มประโยชน์ในเรื่องของการทำการตลาดออนไลน์ให้กับคุณ

SEM คืออะไร

สำหรับ SEM หรือ Search Engine Marketing คือ การทำการตลาดออนไลน์ ผ่านเครื่องมือการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต ทำหน้าที่ค้นหาเว็บให้ตรงกับคำที่คุณค้นหาอยู่ ถ้าทำ SEM ได้มีคุณภาพ ก็แน่นอนว่าจะทำให้เว็บไปอยู่ในตำแหน่งของการค้นหาที่ดีอย่างแน่นอน 

ความแตกต่างของ SEO กับ SEM

  • SEO ไม่เสียค่าโฆษณาไม่เสียค่าคลิก
    SEM เป็นการซื้อโฆษณาให้ติดอันดับการค้นหา
  • SEO ไม่จำกัดจำนวนคลิก
    SEM หากต้องการจำนวนคลิกเพิ่มต้องจ่ายเพิ่ม
  • SEO แสดงผลตลอดเวลา
    SEM กำหนดช่วงเวลาในการแสดงผลได้
  • SEO ช่วยเพิ่มยอดต่อเนื่องระยะยาว
    SEM เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ชัดกว่า
  • SEO อัตราการคลิกสูง ผู้ใช้ต้องการมากกว่า
    SEM เลือกเปิดปิดการมองเห็นได้
  • SEO มาพร้อมความน่าเชื่อถือสูง
    SEM เหมาะกับการใช้เก็บข้อมูลเป้าหมายระยะสั้น

สำหรับการทำงานด้านการตลาดออนไลน์นั้นขอแนะนำว่าให้คุณทำทั้ง SEO และ SEM ควบคู่กันไป เพราะเมื่อทำงานร่วมกันแล้วให้ผลลัพธ์ที่ดีมากกว่ากับคุณอย่างแน่นอน แต่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมนั่นเอง

อยากเดินทางสาย SEO ให้ธุรกิจก้าวกระโดด SEONO1 ช่วยคุณได้

การทำ SEO นั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ปรับตัวให้ทันตามเทรนด์ ดังนั้นการเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญเป็นประโยชน์กับคุณมากกว่าอย่างแน่นอน เพราะมีประสบการณ์ และเข้าใจหลักการให้คะแนนของเหล่า Search Engine เป็นอย่างดี ดังนั้นถ้าต้องการแข็งแกร่งเรื่อง SEO ยกให้ SEONO1 บริการคุณกันได้เลย รับรองว่าสร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มยอดขาย และทำให้คุณเป็น Top of Mind ได้อย่างแน่นอน

คุณสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 087-778-9777 หรือ LINE พร้อมทั้งติดตามข้อมูลอัปเดตในวงการธุรกิจออนไลน์ได้ที่ Facebook

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO คือ

SEO คืออะไร ทํางานอย่างไร

SEO คือ การทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ และรองรับการติดอันดับบน Google ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการออกแบบ และเนื้อหาบนเว็บไซต์

การทำ SEO ทำยังไง

การทำ SEO นั้นมีหลายองค์ประกอบ แต่หลัก ๆ คือ คุณจะต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายและเนื้อหาที่จะโฟกัส ทำ Keyword Research และวางแผนการใช้ Keyword บนเว็บไซต์ วางโครงสร้างเว็บไซต์ จากนั้นเริ่มสร้างคอนเทนต์ และติดตามผลเพื่อพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

SEO คือ อะไร และสําคัญต่อการทําธุรกิจออนไลน์อย่างไร

เมื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับการค้นหาได้จะช่วยทำให้มีทั้งคนรู้จักมากขึ้น และเพิ่มโอกาสการสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

การทำ SEO มีกี่แบบ

มีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทหลัก ๆ นั่นก็คือในแบบ On-Page SEO, Off-Page SEO และ Technical SEO

คะแนน SEO
กด 5 ดาวถ้าชอบบทความนี้
[Total: 1 Average: 5]