ถ้าพูดถึง Conversion Rate ภาษาไทย ที่เรียกกันว่า ‘ยอดขาย’ เชื่อว่าเป็นสิ่งที่คนทำธุรกิจทุกคนต้องการที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่จะช่วยเพิ่มยอดขายก็คือ การทำการตลาด โดยในส่วนนี้มีเรื่องของความเข้าใจว่า Conversion Rate คืออะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นใครที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้วันนี้เราเตรียมข้อมูลมาให้คุณได้นำไปปรับใช้ ถึงเวลามาทำความรู้จักกันแล้วว่า Conversion Rate คืออะไร สำคัญกับการโฆษณาในรูปแบบไหน ข้อมูลในวันนี้จะช่วยให้คุณวางแผนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไรบ้าง มาดูกัน
คลายข้อสงสัย Conversion Rate คืออะไรกันแน่
ก่อนจะเข้าใจหลักการทำงาน ก็จำเป็นที่จะต้องรู้ก่อนว่า Conversion Rate คืออะไร โดย Conversion Rate ตัวย่อ CVR ในสายงานธุรกิจนั้นหมายถึง ‘ยอดจำหน่ายสินค้าที่เกิดขึ้นจริง’ ในรูปแบบของอัตราส่วนระหว่างยอดขาย กับยอดคลิกเข้าชมสินค้า ใช้เพื่อตรวจสอบว่ายอดนั้นไปถึงตามเป้าหมายของการทำ SEO หรือแผนการตลาดออนไลน์มากน้อยแค่ไหน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่จะทำให้คุณวางแผนการตลาดในขั้นต่อไปได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Conversion Rate ตัวอย่างที่ทำให้คุณเข้าใจง่ายขึ้นคือ คุณมีจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด 100 คน และมีคนที่ตัดสินใจซื้ออย่างสมบูรณ์ 10 คน Conversion Rate สูตรคือ 10 ÷ 100 = 0.1 หรือเทียบเป็น 10% นั่นเอง แต่ความจริงในไทย E-Commerce Conversion Rate คือ ตัวเลข 1%-2% เท่านั้น ดังนั้นนักธุรกิจในไทยทุกคนต้องหันมาใส่ใจเรื่องนี้ เพื่อเพิ่มยอดขายในระยะยาวกันให้มากขึ้นแล้ว
ประโยชน์ของ Conversion Rate มีอะไรบ้าง
เมื่อได้ผลลัพธ์ของการโฆษณาออกมาแล้วว่าค่า Conversion Rate คืออะไร มีตัวเลขเท่าไร ตรงกับเป้าหมายของธุรกิจของคุณมากน้อยแค่ไหน และใครคือลูกค้าของคุณ คุณจะได้ประโยชน์แบบเต็ม ๆ กลับไปใช้ต่อกันดังนี้
- คุณจะได้รู้จำนวนกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น
- คุณจะสามารถกำหนดทิศทางการทำโฆษณาในครั้งต่อไปได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- คุณจะสามารถปรับกลยุทธ์ในการทำโฆษณา และแผนการตลาดได้ดีขึ้น เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจช่วยให้ใช้งบประมาณน้อยลง
- เมื่อผล Conversion Rate ออกมาคุณอาจทำการทำเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย ให้ตรงกับคนที่ต้องการซื้อสินค้า และบริการของคุณได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขั้นตอนการทำ E-Commerce Conversion Rate คืออะไร ต้องทำอย่างไรบ้าง
Conversion Rate คือ ยอดขายที่เกิดขึ้นจริง แต่ถ้ายังไม่ใช่ยอดที่ตรงเป้า ต้องทำอย่างไร แน่นอนว่าการทำการตลาด โฆษณา เพื่อให้เข้าถึงลูกค้า และกระตุ้นยอดขายเป็นสิ่งที่ธุรกิจจะต้องทำ จึงทำให้เกิดแนวทาง CRO ขึ้น ซึ่ง CRO หรือ Conversion Rate Optimization คือ ตัวช่วยกระตุ้นยอดขาย ที่ส่งผลดีในระยะยาวนั่นเอง โดยขั้นตอนการทำจะต้องทำอย่างไร มาดูกัน
1. Research
การวิจัยคือคำตอบที่ดีที่สุดเพื่อนำมาวางแผนการเพิ่ม Conversion Rate ซึ่งสาเหตุหลักที่มีผลกับยอดขายคือ โครงสร้างเว็บไซต์ รูปแบบการนำเสนอเนื้อหาต่าง ๆ ความเร็วในการเข้าชม และการออกแบบให้เว็บไซต์เข้าชมได้ในทุกอุปกรณ์ ดังนั้นถ้าตรวจสอบเจอจุดไหนของธุรกิจคุณที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ เริ่มต้นจากการแก้ไขส่วนนี้สามารถช่วยปรับปรุงยอดขายได้
2. Hypothesis
เริ่มตั้งโจทย์ เพื่อทำการทดลอง เมื่อเจอจุดที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุ การทดลองเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงจึงเริ่มต้นขึ้น โดยการจำลองการปรับปรุงเว็บไซต์ ทดสอบ Layout เพื่อเทียบว่าแบบไหนให้ผลดีกว่ากัน ตั้งสมมติฐานอย่างน้อย 2 แบบ เพื่อประเมินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. A/B Testing
เริ่มกำหนดตัวแปร การทดสอบแบบนี้จะทำให้คุณเทียบประสิทธิภาพได้ในทุกเวอร์ชัน โดยมักจะนิยมเทียบแบบเดิมที่ใช้อยู่ (A) กับแบบใหม่ (B) จากนั้นก็กำหนดจำนวนประชากรให้เข้ามาชมเท่า ๆ กัน เพื่อดูว่าตัวไหนตอบโจทย์มากที่สุด
4. Analyze
เมื่อทำทุกขั้นตอนเรียบร้อยก็มาถึงการสรุป โดยระยะเวลาที่ทำการทดลองอย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 1 เดือน จากนั้นก็นำสถิติที่ได้มาจัดการทำ CRO ในกรณีที่ทั้งสองแบบไม่มีผลกับยอดขายเลยก็ต้องกลับไปเริ่มที่ขั้นตอนที่ 1 ใหม่ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
Conversion Rate คิดยังไง ต้องดูตรงไหนบ้าง
การจะวัด Conversion Rate นั้นทำได้หลายทาง ขึ้นอยู่กับเป้าหมายว่า Conversion Rate คือ จุดไหนที่คุณต้องการวัดผล โดยประเภทหลัก ๆ ที่มักจะใช้วัดกันมีดังนี้
Online Concersion
ตัวนี้เป็นการวัดผลจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในเว็บไซต์ และช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ หรือเลือกดูเฉพาะแคมเปญนั้น ซึ่งคุณจะสามารถเห็นจำนวนการเข้าชม แยกย่อยจำนวนคนที่สนใจแต่ละกลุ่ม และได้เห็นจำนวนของลูกค้าใหม่อีกด้วย
Click-Through Rate (CTR)
ตัวนี้เป็นอัตราการคลิกต่อการแสดงผลของโฆษณา เพื่อที่จะได้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายที่คุณได้วางเอาไว้นั้นให้ผลตอบรับดีแค่ไหน ซึ่งก็สามารถนำจำนวนในการคลิกนี้มาดูว่ามีคนสั่งซื้อเข้ามาเท่าไรได้เช่นกัน ซึ่ง Conversion Rate Facebook คือแนวทางการวัดผลในรูปแบบนี้ รวมทั้ง Conversion Rate Google Analytics คือแนวทางนี้เช่นเดียวกัน หากยอดคลิกเยอะสั่งซื้อน้อยก็อาจต้องมาหาสาเหตุเพื่อกระตุ้นยอดขายกันต่อไป
Cost Per Acquisition (CPA)
Conversion Cost คือ การวัดผลแบบ CPA นั่นเองโดยข้อมูลนี้จะทำให้คุณเห็นต้นทุนต่อการได้ลูกค้าใหม่ 1 คนว่าต้องใช้งบประมาณทางการตลาดเท่าไร ตัวอย่างการหาคือ Cost of Marketing + Cost of Sale ÷ New Customer Acquired = Cost per Acquisition (CPA) ยกตัวอย่างเช่น ใช้ทุนในการทำการตลาดไปทั้งหมด 10,000 ได้ลูกค้ามาทั้งหมด 10 คน เท่ากับมีต้นทุนต่อคน 1,000 บาทนั่นเอง จากนั้นจะสามารถนำมาวางแผนการตลาดต่อได้ว่าคุ้มค่า หรือควรเพิ่มลดต้นทุนอย่างไรถึงจะเหมาะสมที่สุด
โดยสำหรับการคิด Conversion Rate นั้นยังมีอีกหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่คุณต้องการไม่ว่าจะเป็น ค่าตอบแทนจากการจ่ายโฆษณา, การวัดผลการขายการทำกำไรจากการกลับมาซื้อซ้ำ, รายได้ที่ลูกค้าคนหนึ่งวนกลับมาซื้อซ้ำตลอดช่วงชีวิต และตัววัดผลที่ดีต่อการลงทุนในการโฆษณาสินค้าสักหนึ่งชิ้น เป็นต้น ดังนั้นการวางเป้าหมายในการวัดผลที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นจะช่วยให้คุณมองหาวิธีการวัดผล เพื่อนำผลไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
อยากเพิ่ม Conversion Rate ให้พุ่งต้องห้ามพลาดเคล็ดลับเหล่านี้
เมื่อรู้กันแล้วว่า Conversion Rate คืออะไร สำคัญอย่างไร แน่นอนว่าทุกคนต้องอยากเพิ่ม Conversion Rate กันอย่างแน่นอน เคล็ดลับง่าย ๆ ในการเพิ่มยอดขายต้องทำอย่างไรบ้าง เรารวมเอาเทคนิคที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ทันทีมาฝากกันแล้ว
1. เพิ่มลูกเล่นทางภาษา
เว็บไซต์ หรือช่องทางออนไลน์ คือ พนักงานขายที่ต้องเจอกับลูกค้าตลอดเวลา ดังนั้นการป้อนคำหรือภาษาให้เหมาะกับเป้าหมายเข้าไว้ มีส่วนช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อเพิ่มความรู้สึกอยากซื้อ ความเต็มใจที่จะซื้อ และความรู้สึกดีที่จะกดซื้อ หรือดูข้อมูลของคุณให้มากขึ้น
2. บอกประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้
คนเราจะไม่ซื้อของที่ไม่ได้ประโยชน์ หรือไม่มีผลกับความรู้สึก ดังนั้นการบรรยายสินค้าและบริการให้ลูกค้าเห็นคุณค่า ประโยชน์ ความสำคัญ ความจำเป็น และรู้สึกว่าพวกเขาจะพลาดไม่ได้ วิธีการนี้ได้ผลมานักต่อนัก แม้จะเป็นนักการตลาดเองก็ยังหยุดตัวเองไม่ให้ซื้อไม่ได้ ถ้าข้อมูลโดนใจ
3. ถ้าอยากได้ข้อมูลสมาชิกอย่าทำให้ยาก
ฐานข้อมูลลูกค้า หรือการเป็นสมาชิกนั้นช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่การที่จะให้ลูกค้ามาเป็นสมาชิก หรือเต็มใจให้ข้อมูลกับคุณนั้นสำคัญกว่า โดยอย่าทำให้ขั้นตอนยาก อย่าขอข้อมูลอะไรที่ไม่จำเป็น เอาแค่ชื่อ เบอร์ อีเมลก็เพียงพอแล้ว
4. รู้ทันความต้องการลูกค้า
เมื่อลูกค้าคลิกเข้ามาในลิงก์นั่นแสดงว่าเขามีความสนใจ และอย่าทำให้ลูกค้าต้องผิดหวัง ถ้าลิงก์บอกว่าจะได้ส่วนลดก็ต้องมี ถ้าบอกว่าได้สินค้าพรีเมียมก็ต้องให้ ถ้าบอกว่ามีข้อมูลเด็ดก็ต้องเตรียมเอาไว้เช่นกัน เพราะถ้าลูกค้าผิดหวังอาจไม่กลับมาหาคุณอีก
5. หาสิ่งล่อใจ
แน่นอนว่าเรื่องของโปรโมชั่น ยังคงเป็นตัวช่วยในการเพิ่มยอดขายที่ใช้ได้เสมอ แต่ต้องให้สิ่งที่ลูกค้าอยากได้ และมีความสำคัญด้วยเช่นกัน เช่น แจกตัวอย่างสินค้าฟรี, Flash Sale, 1 แถม 1, เครดิตเงินคืน, ส่วนลดสำหรับสมาชิก, โปรโมชั่นแนะนำเพื่อน เป็นต้น
6. ความน่าเชื่อถือ
การสร้างความน่าเชื่อด้วย Snippet บน Google ไม่ต่างจากสินค้าและบริการเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะในยุคนี้ ดังนั้นต้องไม่ลืมดีเทลในส่วนนี้กันด้วย
7. สื่อเพิ่มเติม
ภาพ เสียง วิดีโอ หรือสิ่งที่จะทำให้ลูกค้าเห็น เข้าใจ สินค้าและบริการมากขึ้นเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้เป็นอย่างดี เทียบร้านที่ขายสินค้าเหมือนกัน ร้าน A ไม่มีรูป มีแต่ข้อความ กับร้าน B มีรูปสินค้าจริง รูปรีวิว และข้อความบรรยาย แน่นอนว่าร้าน B ได้ยอดขายมากกว่าอย่างแน่นอน
เทคนิคการเพิ่มยอดขายนั้นยังมีสิ่งที่สามารถทำได้อีกมากมาย และยังสามารถเลือกให้เหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุดได้อีกด้วย ดังนั้นต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้าก่อนว่าต้องการอะไร จากนั้นคุณจะวางแผนการเพิ่มยอดขายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
SEONO1 ตัวช่วยสร้างการรู้จักแบรนด์ และเพิ่มยอดขายให้กับคุณ
หนึ่งในช่องทางการเพิ่มยอดขาย และการรับรู้ที่น่าเชื่อถือให้กับการทำธุรกิจคือ การทำ SEO นั่นเอง ถ้าคุณไม่อยากยุ่งยากกับการวางแผน ให้ทีมงานที่เชี่ยวชาญจาก SEONO1 ช่วยคุณดีกว่า บอกเลยว่าคุณจะสามารถวางใจ และเอาเวลาที่เหลือไปลุยกับคุณภาพสินค้า พร้อมทั้งการดูแลลูกค้ากันต่อได้เลย เมื่อทำงานร่วมกันสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน
คุณสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 087-778-9777 หรือ LINE พร้อมทั้งติดตามข้อมูลอัปเดตในวงการธุรกิจออนไลน์ได้ที่ Facebook
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Conversion Rate คือ
อัตราส่วนระหว่างยอดจำหน่ายสินค้าตามจริงเมื่อเทียบกับยอดคลิกชมสินค้า
วัดได้จากจำนวนของผู้ที่เข้าชม สนใจ กับยอดที่สั่งซื้อเข้ามาอย่างสมบูรณ์
คิดไม่ต่างกับช่องทางอื่น ๆ โดยใช้จำนวนเปอร์เซ็นต์ที่จะบอกคุณว่าจากจำนวนคลิกทั้งหมด แปลงเป็นยอดขายได้ทั้งหมดกี่คน
ช่วยสร้างรายงานที่แสดงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ลูกค้าคลิกโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อผลิตภัณฑ์ ลงชื่อสมัครรับจดหมายข่าว โทรหาธุรกิจ หรือดาวน์โหลดแอปของคุณ