เชื่อหรือไม่คะว่า ในแต่ละปีนั้นมีเด็กจำนวนไม่น้อยเลยนะคะ ที่ต้องเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การใช้เบาะนั่งนิรภัย หรือที่เรารู้จักกันในอีกชื่อว่า “คาร์ซีท (Car Seat)“ นั้นจะช่วยป้องกันแรงกระแทกให้เด็ก ๆ ได้อย่างปลอดภัยมากกว่า การที่ผู้ใหญ่นั่งอุ้มพวกเขาหรือการปล่อยให้เด็กๆ นั่งบนเบาะรถยนต์เพียงลำพังโดยที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันใดๆนะคะ
เด็กเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในอัตรามากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กมีศีรษะหนัก ลำตัวเล็ก มีกระดูกต้นคอ กระดูกทรวงอกที่อ่อน อวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับ ม้าม ค่อนข้างใหญ่ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เด็กจึงมีลักษณะการเคลื่อนตัวคล้ายลูกแบดมินตันคือ ‘พุ่งแรง’ ทะลุออกนอกรถได้ง่าย ทำให้สมอง ก้านคอ และม้ามแตกได้รับความเสียหายซึ่งโดยรวมแล้ว ระบบยึดเหนี่ยวในรถออกแบบมา สำหรับผู้ใหญ่จึงไม่เหมาะกับเด็ก
แต่ Car Seat จะช่วยป้องกันแรงกระแทก ลดการบาดเจ็บและการสูญเสียชีวิตเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ เนื่องจากคาร์ซีท เป็นเบาะเสริมที่ถูกออกแบบมาให้มีขนาดที่เหมาะกับสรีระของเด็กๆ ในแต่ละช่วงอายุ ทำให้การรัดเข็มขัดนิรภัยสามารถล็อคและยึดตำแหน่งที่นั่งไว้อย่างหนาแน่นได้มากกว่า และ Car Seat ยังช่วย
– ลดการตายในเด็กปฐมวัยกว่า 75%
– ลดการตายในเด็กวัยเรียนกว่า 40% ในประเทศพัฒนาแล้วจึงมีการกำหนด ‘กฎหมายคาร์ซีท’ ชัดเจนตรงกับรายงานจาก ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐอเมริกาที่บอกว่า เทียบกับใช้เข็มขัดนิรภัยเพียงอย่างเดียว
– คาร์ซีทช่วยลดการโอกาสบาดเจ็บได้ถึง 71-82%
– และช่วยลดการโอกาสบาดเจ็บสาหัสได้ถึง 45%
ทั้งนี้จึงทำให้ในประเทศไทยเอง ก็เริ่มมีกฎหมายบังคับใช้คาร์ซีทสำหรับเด็กเกิดขึ้นเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของเด็กและเยาวชนกันแล้วเช่นกันนะคะ เกี่ยวกับกฎหมายคาร์ซีท(Car Seat) นั้น ได้เกิดเป็นเรื่องที่เป็นที่ฮือฮาเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา กับการบังคับใช้กฎหมายเบาะนั่งสำหรับเด็กบนรถยนต์ ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งคนเห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วยนะคะ กับกฎหมายนี้ ซึ่งจริง ๆ ต้องบอกเลยว่ากฎหมายนี้ บังคับใช้กันมานานแล้วในต่างประเทศ และข้อดีของกฎหมายนี้ก็คือ ความปลอดภัยกับเด็กเล็กที่โดยสารเดินทางไปไหนมาไหนนั่นเองนะคะ ส่วนกฎหมายในไทยจะเป็นอย่างไรนั้น ลองมาดูกันค่ะ
ข้อกฎหมาย คาร์ซีท Car Seat ราชกิจจานุเบกษา ประกาศ พระราชบัญญัติ จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2565 บังคับให้เด็กต่ำ 6 ขวบ ต้องนั่ง คาร์ซีท และ สูงไม่ถึง 135 ซม. ต้องคาด เข็มขัดนิรภัย ฝ่าฝืนมีโทษปรับ เริ่มบังคับใช้ 5 ก.ย. 65
-(2)คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือนั่งในที่พิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
-(ข)คนโดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่ง หรือมีวิธีป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด
-ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กและที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตรายตาม (2) (ข) และวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ให้เป็นไปตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประกาศกำหนด
-ผู้ใดฝ่าฝืน หรือ ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 123 วรรค 1 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
สรุปง่าย ๆ คือ เด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ และผู้โดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องนั่งใน Car Seat นั่นเองนะคะ ต่อไปเรามาลองทำความรู้จักกับ Car Seat กันนะคะ
คาร์ซีท Car Seat คืออะไร
คาร์ซีท Car Seat เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ความปลอดภัย ต่อผู้โดยสารเด็กเวลาเดินทางไปไหนมาไหน หลาย ๆ ประเทศมีกฎหมายข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องของ Car Seat มานานแล้ว ซึ่งแต่ละประเทศจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป ในเรื่องของ อายุ ส่วนสูง และ น้ำหนักของผู้โดยสารนะคะ
ในปี 1990 มีการเปิดตัว Standard ISOFIX สำหรับการติดตั้ง Car Seat โดยมันจะเป็น Standard ที่ทำออกมาเพื่อให้ติดตั้งกับรถแต่ละ Model ที่หลากหลายได้ คล้าย ๆ เป็นมาตรฐานการติดตั้งนั่นเองค่ะ ซึ่งปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็น Standard ที่ใช้กันทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้วค่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม สหรัฐฯ มีคำแนะนำให้ใช้คาร์ซีทตั้งแต่ปี 1983 มีการศึกษาพบว่า ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กจะลดความเสี่ยงต่อการตายในเด็กทารกและเด็กอายุ 1-4 ปี ถึง 69% และลดความเสี่ยงการตายในเด็กอายุมากกว่า 5 ปี ได้ 45%
ประเภทของคาร์ซีท Car Seat
ปัจจุบัน Car seat มีหลากหลายประเภท แตกต่างกันด้วยตำแหน่งที่นั่งและขนาด ซึ่งในมาตรฐานของยุโรปนั้น คาร์ซีท Car Seat ถูกแบ่งเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ค่ะ
Group 0 : เป็นกลุ่มของเด็กแรกเกิด (Baby Seat หรือ Infrant Carriers) ที่สามารถถอดพกพาไปไหนมาไหนได้ เวลาติดตั้งกับรถ เด็กจะหันหน้าไปทางด้านหลังรถเสมอ สามารถติดตั้งได้ทั้ง ISOFIX และ Seat Belt
• ตำแหน่ง : หันหลัง
• น้ำหนัก : 2 – 10 kg.
• อายุ : 0 – 15 เดือน
Group 0+ : จะเป็นกลุ่มที่ติดตั้งกับรถแบบกึ่งถาวร ไม่ได้ถอดเอาไปเป็น Infrant Carriers เป็น Car Seat ที่หันไปด้านหลังรถ บางรุ่นสามารถถอดมาเป็นรถเข็นเด็กได้ เวลาติดตั้งกับรถ เด็กจะหันไปทางด้านหลังรถ สามารถติดตั้งได้ทั้ง ISOFIX และ Seat Belt เช่นกัน
• ตำแหน่ง : หันหลัง หรือ สามารถหมุนได้
• น้ำหนัก : 2 – 13 kg.
• อายุ : 0 – 15 เดือน
Group 1 : เป็นกลุ่มที่เหมาะสำหรับเด็กโตหน่อย ส่วนมากจะติดตั้งกับ Seat Belt
• ตำแหน่ง : หันหลัง หรือ สามารถหมุนได้
• น้ำหนัก : 9 – 13 kg.
• อายุ : 9 เดือน – 4 ขวบ
Group 2 : เป็นกลุ่มที่เหมือน Group 1 แต่จะมีขนาดใหญ่กว่า
• ตำแหน่ง : หันหน้า หรือ สามารถหมุนได้
• น้ำหนัก : 15 – 25 kg.
• อายุ : 4 – 6 ขวบ
Group 3 : เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
• ตำแหน่ง : หันหน้า หรือ สามารถหมุนได้
• น้ำหนัก : 22 – 36 kg.
• อายุ : 4 – 10 ขวบ
โดยสรุปแล้วจะเห็นได้ว่า การมี Car Seat นั้นเป็นเรื่องที่ดีมากนะคะ ถือเป็นการซื้อความปลอดภัย เวลาเดินทางโดยสารรถไปไหนมาไหนให้กับลูกน้อย การมีบทกฎหมายกำหนดก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกันค่ะ แต่ทางภาครัฐต้องเข้ามาควบคุมดูแลสินค้าและราคาให้เหมาะกับคนทุกกลุ่ม เพราะ Car Seat กำลังเป็นของอีกชิ้น ที่สำคัญกับพ่อแม่เวลาจะพาลูกเดินทางไปไหนมาไหน เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่จะต้องมี เพื่อความปลอดภัยของเด็กเล็กทุกคน ส่วนเรื่องประเภทของคาร์ซีทที่ควรซื้อนั้น น่าจะขึ้นอยู่กับการใช้งานและความสะดวกของคุณพ่อและคุณแม่แต่ละบ้านนะคะ ซึ่งในแต่ละประเภท ก็มีให้เลือกหลากหลายราคา ตั้งแต่ราคาต่ำไปจนถึงราคาสูง รุ่นที่มีมาตรฐานความปลอดภัย คุณภาพดี หาซื้อได้ง่าย ราคาเริ่มต้นไม่ถึง 3,000 บาทก็มีค่ะ ซึ่งน่าจะทำให้คุณพ่อและคุณแม่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้นนะคะ หวังว่าบทความเกี่ยวกับ Car Seat นี้ จะมีประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กทุกท่านนะคะ