ตากระตุก ลางบอกเหตุ หรือสัญญาณโรคร้าย

เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีอาการของตากระตุกกันมาบ้างใช่ไหมคะ และเมื่อไรก็ตามที่ ตากระตุก แล้วหันไปบอกใคร คำตอบที่ได้กลับมาคือ “ตากระตุกข้างไหน” จากนั้นต่อมาด้วยคำ “ขวาร้าย ซ้ายดี” ถ้าตากระตุกข้างขวา บางคนก็เชื่อว่าจะเจอกับโชคร้ายบ้างเรื่องแย่ๆบ้างว่ากันไปตามแต่ละท้องที่นะคะ ส่วนตากระตุกข้างซ้าย ก็เชื่อว่าจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ถูกหวย มีคนแอบชื่นชมก็ว่ากันไปค่ะ

แต่ความจริงแล้วรู้รึเปล่าคะ ว่าอาการตากระตุกนั้นยังสามารถบอกอะไรเราได้อีกเยอะ นอกจากเป็นเรื่องของโชคลาภ ก่อนอื่นเรามาดูกันนะคะว่า ตากระตุกคืออะไรกันแน่ เกิดจากอะไร แล้วแบบไหนคืออาการของตากระตุกค่ะ

ตากระตุก (Eye Twitching) เป็นอาการขยับหรือกระตุกอย่างรวดเร็วของกล้ามเนื้อเปลือกตาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เกิดขึ้นได้ทั้งกับเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง แต่มักจะเกิดกับเปลือกตาบนและมักเกิดกับตาทีละข้างนะคะ

อาการตากระตุกสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ โดยผู้ที่มีอาการส่วนใหญ่จะพบว่าอาการไม่มีความรุนแรงใด ๆ แต่บางรายอาจพบว่ามีอาการกระตุกอย่างรุนแรง จนทำให้รู้สึกต้องการที่จะหลับตาลงหรือก่อความรำคาญ และบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยจนไม่สามารถสังเกตได้ก็มีค่ะ

อาการตากระตุก

อาการตากระตุกมักจะเกิดขึ้นกับตาทีละข้างเกิดขึ้นได้กับเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง แต่โดยส่วนใหญ่จะเกิดกับเปลือกตาบน อาการตากระตุกจะมีตั้งแต่อาการที่สังเกตได้น้อย ไปจนถึงกระตุกมากจนทำให้เกิดความรำคาญ ระยะเวลาของอาการไม่สามารถคาดเดาได้ โดยอาจเกิดแล้วหายไปได้เองภายในเวลาอันสั้น แต่อาจกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดไป หรืออาจนานเป็นวันหรือมากกว่านั้น แล้วกลับมาเกิดซ้ำก็มีนะคะ อาการตากระตุกจะไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและมักไม่เป็นอันตราย แต่อาจจะสร้างความรำคาญให้ผู้ที่มีอาการได้ค่ะ นอกจากนั้น อาการมักจะหายไปเองโดยไม่ต้องรักษานะคะ แต่ก็มีบางกรณี ซึ่งพบได้น้อยที่อาการตากระตุก อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเรื้อรังหรือมีความรุนแรง โดยเฉพาะในรายที่มีอาการกระตุกของส่วนอื่น ๆ บนใบหน้าร่วมด้วยค่ะ

สาเหตุของตากระตุก

สาเหตุของตากระตุกยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่แพทย์ได้สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับการทำงานของสมอง ส่วนที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ โดยอาการมักเกิดขึ้นจากความเครียด การอดนอน การบริโภคคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มาก และอาจรวมไปถึงสาเหตุดังต่อไปนี้นะคะ

• เกิดการระคายเคืองที่ตาหรือเปลือกตาด้านใน
• ตาล้า
• ตาแห้ง
• เวียนศีรษะ
• ออกกำลังกาย
• แสงสว่าง ลม
• สูบบุหรี่
• ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด

หากมีอาการหนังตากระตุกเรื้อรัง หรือที่เรียกว่าโรคหนังตากระตุก (Benign Essential Blepharospasm) ซึ่งทำให้เกิดอาการตากระตุกทั้งสองข้างจากการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Dystonia) ของกล้ามเนื้อรอบดวงตาซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ปัจจัยต่อไปนี้อาจทำให้มีอาการแย่ลงได้

• เปลือกตาอักเสบ
• เยื่อตาอักเสบ
• ตาแห้ง
• เกิดการระคายเคืองจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ลม แสงสว่าง แสงอาทิตย์ หรือมลภาวะ
• มีอาการอ่อนล้า
• มีความไวต่อแสงสว่าง
• มีความเครียด
• บริโภคแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป
• สูบบุหรี่

อาการตากระตุกอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับสมองและระบบประสาท ได้แก่

• โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’ Palsy)
• ภาวะคอบิดเกร็ง (Cervical Dystonia)
• โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (Dystonia)
• โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)
• โรคกล้ามเนื้อช่องปากหรือขากรรไกรบิดเกร็ง (Oromandibular Dystonia)
• โรคกล้ามเนื้อใบหน้าบิดเกร็ง (Facial Dystonia)
• โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s Disorder)

อาการตากระตุกมักจะหายไปได้เองภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์ แต่หากพบว่ามีอาการต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์โดยด่วนนะคะ

• มีอาการตากระตุกต่อเนื่องไม่หายเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์
• เปลือกตาลงมาปิดสนิทในขณะที่มีอาการกระตุก หรือลืมตาได้ลำบาก
• มีอาการกระตุกที่สวนอื่นบนใบหน้าหรือส่วนอื่นของร่างกายร่วมด้วย
• หนังตาตก
• เปลือกตาบวม แดงหรือมีขี้ตา
• เกิดการบาดเจ็บที่กระจกตา

อาการตากระตุกมักจะหายไปได้เอง ภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์โดยที่ไม่ต้องรักษา แต่หากอาการไม่หายไป

ผู้ป่วยควรพยายามหลีกเลี่ยงหรือลดสาเหตุเบื้องต้นเพื่อบรรเทาอาการตากระตุกด้วยตนเอง ได้แก่

• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
• บริโภคคาเฟอีนให้น้อยลง
• หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
• พยายามลดหรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเครียด
• ในกรณีที่มีอาการตาแห้งใช้ ควรใช้น้ำตาเทียมหรือยาหยอดตาเพื่อหล่อลื่นดวงตาและเยื่อตา
• ใช้วิธีประคบร้อนเมื่อเริ่มมีอาการ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณดวงตา

ภาวะแทรกซ้อนตากระตุก อาการตากระตุกอาจเป็นอาการที่มีความรุนแรงซึ่งเกิดจากความผิดปกติของสมองหรือระบบประสาท แต่อย่างไรก็ตาม อาการตากระตุกที่เกิดขึ้นเพราะความผิดปกติดังกล่าวมักจะเกิดพร้อมกับอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยเสมอ โดยโรคหรือความผิดปกติของสมองและประสาทที่อาจทำให้เกิดอาการตากระตุก ได้แก่

• โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’ Palsy) เป็นภาวะที่ทำให้ใบ้หน้าเพียงซีกหนึ่งเกิดอาการอ่อนแอลงหรือเบี้ยว
• ภาวะกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (Dystonia) ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุกและกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบจะมีการบิดเกร็ง
• โรคคอบิดเกร็ง (Cervical dystonia) ทำให้คอเกิดอาการกระตุกและทำให้ศีรษะบิดเกร็งไปอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกสบาย
• โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis: MS) เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการรับรู้และการเคลื่อนไหว
• โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) ทำให้เกิดอาการสั่นที่แขนและขา กล้ามเนื้อเกิดความอ่อนล้า มีปัญหาในการทรงตัว และทำให้พูดได้ลำบาก

การป้องกันตากระตุกเบื้องต้นจึงทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

• ลดความเครียดหรือพยายามไม่ให้เกิดความเครียด
• นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยเข้านอนให้เร็วขึ้นกว่าปกติ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
• ลดการบริโภคคาเฟอีนและแอลกอฮอล์

และที่สำคัญนะคะ ควรหมั่นจดบันทึกในช่วงเวลาที่เกิดอาการว่า ตนเองมีการดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ รวมไปถึงระดับความเครียดและนอนหลับเพียงพอหรือไม่ด้วยนะคะ เพื่อที่จะได้หาทางแก้ไขได้อย่างตรงจุด และหากต้องไปพบแพทย์ก็จะช่วยให้มีข้อมูลเพื่อช่วยให้การรักษาเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องอีกด้วยค่ะ

คะแนน SEO
กด 5 ดาวถ้าชอบบทความนี้
[Total: 0 Average: 0]