ผู้เขียน หัวข้อ: p1 กล้องสำรวจถนนหนทางภาคสนาม บริการ กล้องระดับ TOPCON, Pentax, CTS/Berger มือหนึ  (อ่าน 173 ครั้ง)

SEONo1.co.th

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 276146
  • รับทำ SEO No.1 SEONo1.co.th
    • ดูรายละเอียด
จำหน่ายกล้องอุปกรณ์กล้องไลน์ [pr]สำรวจ คุณภาพเยี่ยม กล้องระดับ TOPCON [pr] ยี่ห้อ TOPCON, Pentax, CTS/Berger
การจำแนกดิน คือ การรวบรวมดินจำพวกต่างๆที่มีลักษณะ หรือ คุณสมบัติที่หมือนกันหรือคล้ายกันตามที่กำหนดไว้ ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระบบระเบียบ เพื่อสบายสำหรับในการจำและก็เอาไปใช้งาน
ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศรัสเซีย
ระบบนี้จะมีความสนใจดินที่เกิดในสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น จนถึงค่อนข้างจะร้อน สำหรับเพื่อการจำแนกระดับสูง เน้นย้ำการใช้โซนสภาพอากาศแล้วก็พืชพรรณเป็นหลัก มีทั้งสิ้น 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตสภาพภูมิอากาศตั้งแต่หนาวจัด จนกระทั่งค่อนข้างหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX เน้นย้ำลักษณะภูมิอากาศค่อนข้างร้อน โดยใช้ลักษณะความชุ่มชื้น-ความแห้ง และก็สภาพพรรณไม้ที่เป็นป่า หรือทุ่งหญ้า เป็นสาเหตุจำกัด สำหรับชั้น X-XII เน้นดินในเขตร้อน จากระดับสูงจะมีการแบ่งแยกออกเป็นชั้นย่อย ตามลักษณะการเกิดของดิน และก็แบ่งเป็นประเภทดิน ในอย่างน้อย ระบบการแบ่งแยกดินของคูเบียนา การแบ่งดินใช้ ทรัพย์สินทางเคมีของดิน และก็โซนของภูมิอากาศกับพืชพรรณ เป็นหลัก โดยย้ำสภาพแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน และสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างแห้งมากกว่าเขตเปียกชื้นและฝนชุก
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศฝรั่งเศส
มีลักษณะเด่นเป็น เป็นการจำแนกแยกแยะดินที่ใช้ลักษณะทั้งผองข้างในหน้าตัดดินเป็นมาตรฐาน เน้นย้ำวิวัฒนาการของหน้าตัดดิน โดยพิจารณาจาการจัดตัวของชั้นเกิดดินข้างในหน้าตัดดินโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการที่มีปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลง หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว การแบ่งแยกลำดับสูงสุด เน้นลักษณะที่เกี่ยวโยงกับการขังน้ำ ส่วนขั้นต่ำ ใช้ความมากน้อยสำหรับเพื่อการโยกย้ายอนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน
-ระบบการแบ่งดินของประเทศเบลเยียม
เป็นการจำแนกประเภทที่ออกจะละเอียด ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น การแบ่งดินใช้รูปแบบของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ และก็พัฒนาการของหน้าตัดดิน เป็นลักษณะจัดหมวดหมู่ สำหรับการอธิบายเนื้อดิน แบ่งได้เป็น 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) สิ่งของอินทรีย์และตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลความหมายที่เกี่ยวกับความแฉะของดิน เช่น จุดประ แล้วก็สีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่พบลักษณะดังกล่าวมาแล้วข้างต้น สำหรับพัฒนาการของหน้าตัดดินแบ่งออกเป็นหลายชั้นโดยพินิจพิเคราะห์จากลำดับของชั้นต่างๆในหน้าตัดดินแล้วก็ชั้น (B) นับได้ว่าเป็นชั้น B ที่พึ่งมีความเจริญหรือเป็นชั้นแคมบิก B คล้ายคลึงกันกับในระบบของฝรั่งเศส
-ระบบการจำแนกดินของอังกฤษ
เน้นลักษณะดินที่เจอในประเทศอังกฤษและก็เวลส์ ประกอบด้วย 10 กลุ่ม แจกแจงออกจากกันโดยใช้รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นหลักเกณฑ์ซึ่งเน้นย้ำชนิดและการจัดเรียงตัวของชั้นดิน ประกอบด้วย Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils แล้วก็ Peat soils
-ระบบการจำแนกดินของประเทศแคนาดา
ระบบการจำแนกเป็นแบบมีหลายขั้นอันดับข้อบังคับรวมทั้งมีลำดับสูงต่ำแจ่มแจ้ง มี 5 ขั้นด้วยกันเป็น ชั้น (order) กรุ๊ปดินใหญ่ (great group) กลุ่มดินย่อย (subgroup) วงศ์ดิน (family) และชุดดิน (series) ชั้นอนุกรมระเบียบของดินในระบบการจำแนกดินของแคนาดาแจงแจงออกจากกันโดยใช้ลักษณะที่สังเกตได้ รวมทั้งที่วัดได้ แต่ว่าหนักไปในทางทางทฤษฎีการกำเนิดดินสำหรับในการแบ่งประเภทขั้นสูง ซึ่งแบ่งได้เป็น 9 อันดับ และแบ่งได้ 28 กรุ๊ปดิน
-ระบบการแบ่งแยกดินของออสเตรเลีย
การพัฒนาด้านการแบ่งดินในออสเตรเลียมีมานานแล้วเช่นกัน โดยในขั้นแรกเป็นการแยกประเภทดินที่ใช้ธรณีวิทยาของอุปกรณ์ดินเริ่มแรกเป็นหลัก แม้กระนั้นต่อมาได้มีการปรับปรุงมาเรื่อยๆจนถึงเน้นย้ำสัณฐานวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งได้เป็น 47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) ด้วยเหตุว่าการที่ประเทศออสเตรเลียมีลักษณะภูมิอากาศอยู่หลายแบบร่วมกัน ทำให้มีสภาพแวดล้อมทางดินหลายแบบด้วยกันตามไปด้วย มีในสภาพที่หนาวเย็นไปจนถึงเขตร้อนชื้น แล้วก็เขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าระบบการแบ่งแยกนี้ครอบคลุมชนิดของดินต่างๆจำนวนมาก แม้กระนั้นเน้นย้ำดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต เน้นสีของดิน และเนื้อของดินออกจะมากมาย ระบบการแบ่งดินของประเทศออสเตรเลียนี้มีอยู่มากยิ่งกว่า 1 แบบ เพราะมีการเสนอระบบต่างๆที่มีแนวคิดพื้นฐานไม่เหมือนกันออกไป เป็นต้นว่าระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 1971, 1971, 1980) ที่ย้ำจากระดับต่ำขึ้นไปหาระดับสูง แล้วก็ระบบที่พบอยู่ในคู่มือของดินประเทศออสเตรเลีย (A Handbook of Australia Soils) เป็นต้น
-ระบบการจำแนกดินของประเทศนิวซีแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอันดับวิธานดินของสหรัฐฯเป็นหลักในการจัดชนิดและประเภทดิน รวมทั้งดินของประเทศนิวซีแลนด์บริเวณกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากตะกอนภูเขาไฟ
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศบราซิล
ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน ระบบการจำแนกดินของบราซิลไม่ใช้สภาพความชื้นดินสำหรับเพื่อการจำแนกแยกแยะระดับสูง รวมทั้งใช้สี ปริมาณขององค์ประกอบกับจำพวกของหินแหล่งกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้ในการจำแนกประเภทมากกว่าที่ใช้ในอนุกรมเกณฑ์ดินกษณะที่ใช้สำหรับการจำแนกแยกแยะมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอันดับข้อบังคับดิน
ตามระบบการแบ่งดินประจำชาตินี้ สามารถแบ่งดินในประเทศไทยออกเป็น
ชุดดินรังสิต
Alluvial soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นใหม่ แก่น้อย มีพัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ หน้าตัดดินเป็นแบบ A-C, A-Cg, Ag-Cg หรือ A-(B)-Cg เกิดจากการทับถมโดยน้ำตามที่ราบลุ่ม ดังเช่นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ชายทะเล รวมทั้งเนินตะกอนน้ำพารูปพัด (alluvial fan) สภาพของการทับถมบางทีอาจเป็นรอบๆของน้ำจืด น้ำทะเล หรือน้ำกร่อยก็ได้ ส่วนมากจะมีเนื้อดินละเอียด แล้วก็การระบายน้ำเหลวแหลก พบได้มากลักษณะที่แสดงการขังน้ำ เว้นเสียแต่รอบๆสันดินริมน้ำ และก็ที่เนินขี้ตะกอนน้ำพารูปพัด ที่เนื้อดินจะหยาบคายกว่า และก็ดินมีการระบายน้ำดี องค์ประกอบและก็ธาตุที่มีอยู่ในดิน alluvial มักไม่เหมือนกันมาก และก็มักจะผสมคละจากบริเวณแหล่งกำเนิดที่มาจากหลายแห่ง ชุดดินที่สำคัญของกรุ๊ปดินหลักนี้คือ
- พวกที่เกิดจากตะกอนน้ำจืด อาทิเช่น ชุดดินท่าม่วง สรรพยา จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดราชบุรี อยุธยา
- พวกที่เกิดจากตะกอนน้ำกร่อย ตัวอย่างเช่น ชุดดินผู้อารักขา รังสิต
- พวกที่เกิดขึ้นจากตะกอนพื้นทวีปสมุทร อาทิเช่น ชุดดินท่าจีน กรุงเทพมหานคร
-
Hydromorphic Alluvial soils
หมายคือดิน Alluvial soils ที่มีการระบายน้ำค่อนข้างชั่ว-ต่ำทรามมาก ในกรณีที่มีการแบ่งประเภทดินออกเป็น Alluvial soils แล้วก็ Hydromorphic Alluvial soils ดินที่อยู่ในกรุ๊ปดินหลัก Alluvial soils จะเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี และก็อยู่ในรอบๆที่สูงกว่าในภูมิทัศน์ที่ต่อเนื่องกัน ดินในทั้งสองกรุ๊ปดินหลักนี้มักจะได้รับอิทธิพลน้ำท่วมในช่วงฤดูน้ำหลากเสมอ
 -ชุดดินหัวหิน
Regosols
มีพัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ เกิดเด่นชัดเฉพาะดินบน (A) และก็มีหน้าตัดดินแบบ A-C หรือ A-Cg มีต้นเหตุที่เกิดจากวัตถุแหล่งกำเนิดดินที่เป็นทรายจัดอาจเป็นทรายบริเวณชายฝั่งทะเล หรือรอบๆเนินทราย หรือทรายจากแม่น้ำ ดินมีการระบายน้ำดี จนถึงระบายน้ำดีกระทั่งเหลือเกิน เจอทั่วๆไปเป็นแถวยาวตามชายฝั่งทะเล และก็ตามกระพักลำธารของแม่น้ำที่มีตะกอนเป็นทรายจัด มีปฏิกิริยาค่อนข้างเป็นกรด ชุดดินที่สำคัญได้แก่ ชุดดินหัวหิน พัทยา ระยอง แล้วก็น้ำพอง
-Lithosols
เป็นดินตื้นมาก โดยมากลึกไม่เกิน 30 เซนติเมตร มักพบตามบริเวณที่ลาดเชิงเขาซึ่งมีกษัยการสูง การจัดเรียงตัวของชั้นดินเป็นแบบ A-C-R, AC-C-R หรือ A-R เนื้อดินมีเศษหินที่ยังไม่ผุพังสลายตัวหรือกำลังย่อยสลายคละเคล้าอยู่เป็นส่วนใหญ่ ดินนี้ไม่เหมาะสมแก่การเกษตร หรือการผลิตพืชโดยปกติ
-ชุดดินลพบุรี
Grumusols
เป็นดินสีคล้ำ มีเหตุมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง อย่างเช่น หินปูน มาร์ล หรือบะซอลต์ วิวัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีส่วนประกอบเป็นแร่ดินเหนียวชนิด 2:1 ซึ่งมีความรู้ในการยืด-หดตัวได้มาก ดินจะขยายตัวเมื่อแฉะ (swelling) รวมทั้งหดตัวเมื่อแห้ง (shrinkage) ทำให้มีลักษณะของรอยูลื่นไถล (slickensides) เกิดขึ้นในดิน ลักษณะหน้าตัดประกอบด้วยชั้น A-C หรือ A-AC-C โดยชั้น A จะหนา มีโครงสร้างดินแบบก้อนกลม (granular structure) หรือก้อนกลมพรุน (crumb structure) มักพบในบริเวณที่ราบลุ่มหรือตะพักลำน้ำ ลักษณะผิวหน้าดินเป็นหลักที่ปุ่มป่ำ (gilgai relief) เมื่อแห้งผิวดินจะแตกระแหงเป็นร่องลึก ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง ลักษณะโดยรวมเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่มีทรัพย์สินทางด้านกายภาพที่เป็นอุปสรรคต่อการไถพรวน ดินนี้ในบริเวณที่ต่ำจะมีการระบายน้ำสารเลว ส่วนมากใช้ปลูกข้าว แต่ว่าถ้าอยู่ในที่สูง ได้แก่ในบริเวณใกล้เชิงเขาหินปูนชอบมีการระบายน้ำดี ใช้ปลูกพืชไร่ อาทิเช่น ข้าวโพดชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ชุดดิน จังหวัดลพบุรี บ้านหมี่ โคกกระเทียม บุรีรัมย์ กรุ๊ปดินหลัก Grumusols นี้ ไม่มีในระบบ USDA 1938 เริ่มใช้ในการเพิ่มเติมอีกระบบ USDA เมื่อ 1949
 -ชุดดินตาคลี
Rendzinas
เป็นดินตื้นกำเนิดตามตีนเขาหินปูน วัตถุต้นกำเนิดเป็นพวกปูน (CaCO3) หรือมาร์ล เกิดเกี่ยวกับดิน Grumusols แต่อยู่ในรอบๆที่สูงกว่า พบมากบริเวณที่ลาดใกล้เขา หรือ กระพักเขตที่ลุ่มใกล้เขาหินปูน เป็นดินที่มีความก้าวหน้าของหน้าตัดต่ำ ลักษณะดินจะมีเพียงชั้น A และก็ C หรือ A-(B)-C ดินบนสีคล้ำ มีส่วนประกอบดี ร่วน รวมทั้งออกจะดก มีการระบายน้ำดี ส่วนดินด้านล่างเป็นดินเหนียวผสมปูนหรือปูนมาร์ล ซึ่งมีปริมาณมากขึ้นตามความลึก และมักจะเจอชั้นที่เป็นปูน หรือ ปูนมาร์ลล้วนๆอยู่ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ดินเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่าง (pH โดยประมาณ 7.0-8.0) ส่วนใหญ่ใช้ในการปลูกพืชไร่ เช่นข้าวโพด หรือปลูกไม้ผล ได้แก่ น้อยหน่า ทับทิม ฯลฯ ชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินตาคลี
 -ชุดดินชัยบาดาล
Brown Forest soils
เจอตามรอบๆภูเขาเป็นส่วนมาก มีเหตุมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้าง รวมทั้งเศษหินตีนเขา อีกทั้งในภาวะที่หินพื้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด รวมทั้งด่าง ดังเช่น แกรนิต ไนส์ แอนดีไซต์ มาร์ล บางทีอาจพบปะผสมกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Rendzinas เป็นดินตื้น วิวัฒนาการของหน้าตัดดินไม่มากสักเท่าไรนัก มีลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A-B-C หรือ A-B-R แต่ชั้น B มักจะไม่ค่อยแน่ชัด ในประเทศไทยมักพบตามภูเขาหินปูนเป็นส่วนใหญ่ สำหรับ Brown Forest soils ที่เป็นกรด พบเพียงนิดหน่อยชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ชัยบาดาล ลำที่นารายณ์ สมอทอด
 -Humic Gley soils
พบจำนวนน้อยในประเทศไทย มักเกิดผสมอยู่กับดินอื่นๆในลักษณะกระจุยกระจายเป็นหย่อมๆในบริเวณที่ราบลุ่ม พบได้บ่อยอยู่ชิดกับดินในกรุ๊ป Grumusols, Rendzinas หรือ Red Brown Earths เป็นดินในที่ต่ำ มีการระบายน้ำหยาบช้า วิวัฒนาการของหน้าตัดไม่ดีนัก ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ Ag (Apg)-Cg หรือ A-Bg-Cg ลักษณะที่สำคัญคือ ดินบนหนา มีอินทรียวัตถุสูง ดินด้านล่างมักเป็นดินเหนียวสีเทาหรือสีเทาเข้ม มีลักษณะที่แสดงถึงสภาพที่มีการขังน้ำชัดเจน มีจุดประ ปฏิกิริยาดินเป็นด่างเล็กน้อยชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินแม่ขานตอบ
 -ชุดดินร้อยเอ็ด
Low Humic Gley soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นมาจากตะกอนน้ำพา เจอในรอบๆที่ต่ำที่มีการระบายน้ำชั่ว ส่วนมากอยู่ในรอบๆกระพักที่ลุ่มต่ำที่สูงกว่าที่ราบลุ่มใหม่ใกล้น้ำ ระดับน้ำใต้ดินตื้นและก็แช่ขังเป็นบางครั้งบางคราว แต่มีวิวัฒนาการของหน้าตัดค่อนข้างดี ลักษณะสำคัญของดินในกลุ่มนี้คือ หน้าตัดดินมีลักษณะที่แสดงออกถึงการขังน้ำ มีจุดประชัดแจ้ง หน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt, Ap-A2-Bt, A1-A2-Btg, A1g-A2g-Btg, หรือ Apg-Btg พวกที่มีอายุน้อยจะอุดมสมบูรณ์มากกว่าพวกที่เกิดเป็นเวลานานกว่า บางรอบๆจะเจอศิลาแลงอ่อน (plinthite) ในตอนล่างของหน้าตัดดิน จำนวนมากเป็นดินที่มีความอิ่มตัวเบสต่ำ pH ราวๆ 4.5-5.5 สำหรับพวกที่เกิดอยู่ในบริเวณตะพักลุ่มน้ำออกจะใหม่ ชอบมีความอิ่มตัวเบสสูง ชุดดินที่สำคัญหมายถึงเพ็ญ จังหวัดสระบุรี มโนรมย์ เพชรบุรี เชียงราย หล่มเก่า ส่วนพวกที่เกิดบนกระพักเขตที่ลุ่มค่อนข้างเก่า เช่นชุดดิน ร้อยเอ็ด จังหวัดลำปาง ฯลฯ
 
-ชุดดินท่าอุเทน
Ground Water Podzols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำชั่วช้าถึงออกจะเลวทรามเจอเฉพาะในบริเวณที่มีฝนตกชุก ตัวอย่างเช่น ในภาคใต้ บริเวณริมฝั่งทิศตะวันออก หรือบางจังหวัดของภาคอีสาน ตัวอย่างเช่น จังหวัดนครพนม เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นทราย ในรอบๆที่เป็นทรายจัด ยกตัวอย่างเช่น หาดทรายเก่าหรือตะกอนทรายเก่า ในบริเวณที่ออกจะต่ำ มีพัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-(A2)-Bh-Cg หรือ A1-A2-Bir-Cg ชั้นดินบนสีคล้ำ แล้วก็มีอินทรียวัตถุสูง ชั้น A2 (albic horizon) หรือชั้นล้างมีสีซีดจางเห็นได้ชัดเจน ชั้น Bh มีสีน้ำตาลเข้มรวมทั้งมีการอัดตัวออกจะแน่น แข็ง ด้วยเหตุว่ามีการสะสมอินทรียวัตถุที่สลายตัวแล้วกับอะลูมินัมออกไซด์รวมทั้ง/หรือเหล็กออกไซด์ มีปฏิกิริยาเป็นกรด pH ต่ำ ราวๆ 4.0-5.0 ตลอดทั้งหน้าตัดชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินบ้านทอน ท่าอุเทน
 -ชุดดินหนองมึง
Solodized-Solonetz
พบในบริเวณที่ค่อนข้างจะแห้งแล้ง แล้วก็วัตถุแหล่งกำเนิดมีเกลือผสมอยู่ เป็นต้นว่าบริเวณชายฝั่งทะเลเก่า หรือรอบๆที่ได้รับผลกระทบจากเกลือที่มาจากใต้ดิน ดังเช่นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของเมืองไทย เป็นต้น มีลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt ดินมีการระบายน้ำชั่วโคตร ชั้น Bt จะแข็งแน่นและก็มีโครงสร้างแบบแท่งหัวมน (columnar structure) หรือแบบแท่งหัวตัด (prismatic) ดินบนเป็นดินร่วนซุยคละเคล้าทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างราว 5-5.5 ส่วนดินล่างมี pH สูง 7.0-8.0 ดังเช่นชุดดินว่าวจุฬาร้องไห้ ชุดดินหนองแก เป็นต้น
 -ชุดดินอุดร
Solonchak
เป็นดินที่มีการระบายน้ำชั่วถึงออกจะชั่วโคตร มีเกลือสะสมอยู่ในชั้นดินมากมาย หน้าตัดดินเป็นแบบ Apg-Cg หรือ Apg-Bg-Cg ในดินเหล่านี้จะมีชั้นดินที่เป็นดินเหนียวอยู่เป็นชั้นบางๆสลับกับชั้นทราย เกิดขึ้นให้เห็นกระจ่างเจน ในฤดูแล้งจะมองเห็นคราบเกลือสีขาวๆที่ผิวหน้าดิน ความเป็นกรดเป็นด่างมากยิ่งกว่า 7.0 ยกตัวอย่างเช่น ชุดดินอุดร
 -Non Calcic Brown soils
เจอไม่มากนักในประเทศไทย พบในบริเวณกระพักลำธารออกจะใหม่ พัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดดินแบบ A1(Ap)-A2-Bt ดินบนสีน้ำตาลเทา ดินล่างมีสีน้ำตาล น้ำตาลผสมเหลือง หรือน้ำตาลคละเคล้าแดง เกิดขึ้นจากขี้ตะกอนน้ำค่อนข้างใหม่ มีเนื้อดินตั้งแต่ค่อนข้างหยาบไปจนถึงละเอียด และมีปฏิกิริยาเป็นกรดบางส่วน ในหน้าตัดดินจะเจอแร่ไมกาอยู่ทั่วๆไป มีการระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูง เหมาะที่จะปลูกพืชไร่รวมทั้งไม้ผล ชุดดินที่สำคัญอาทิเช่น ชุดดิน กำแพงแสน ธาตุพนม
 -ชุดดินโคราช
Gray Podzolic soils
เกิดในบริเวณกระพักลำน้ำเป็นดินที่มีอายุค่อนข้างจะมาก มีวิวัฒนาการของหน้าตัดดี พบในบริเวณลำน้ำระดับที่ค่อนข้างต่ำ-ระดับกลาง วัตถุต้นกำเนิดเป็นขี้ตะกอนน้ำที่ทับถมมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นกรดแล้วก็มีแร่ที่สลายตัวง่ายคงเหลือในปริมาณน้อย ในภาวะพื้นที่แบบคลื่น ซึ่งทำให้การไหลผ่านหน้าดินเป็นไปอย่างช้าๆและก็ลักษณะอากาศที่มีระยะเปียก-แห้งสลับกันเป็นต้นสายปลายเหตุที่สำคัญต่อการเกิดดินชนิดนี้ ลักษณะดินทำให้เห็นว่าดินมีการชะละลายสูง สีจะออกขาวหรือเทาจัดเมื่อแห้ง และมีลักษณะการย้ายที่บนผิวหน้าดินค่อนข้างแจ่มแจ้ง เนื้อดินละเอียดรวมทั้งอินทรียวัตถุถูกชะล้างไปเมื่อหน้าดินถูกฝน ยังเหลือแม้กระนั้นจุดที่เกาะตัวกันแน่นอยู่เป็นจุดๆอาจพบพลินไทต์ในชั้นดินข้างล่าง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ-ต่ำมากมาย รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt กรุ๊ปดินนี้เจอเป็นบริเวณกว้างใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน และบางแห่งในภาคเหนือ ชุดดินที่สำคัญ ได้แก่ ชุดดินโคราช สันป่าตอง ห้วยโป่ง ฯลฯ
 -ชุดดินท่ายาง
Red Yellow Podzolic soils
เป็นดินเก่าที่มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดินดี กำเนิดในสภาพที่ละม้ายกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic Soils ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt-C หรือ R เจอทั่วไปในบริเวณเทือกเขาแล้วก็ที่ลาดตีนเขาหรือที่ราบขั้นบันไดเก่า วัตถุต้นกำเนิดดินมาจากหินหลายหมวดหมู่ โดยมากเป็นหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดถึงเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี ลักษณะเนื้อดินเปลี่ยนได้มากตั้งแต่ออกจะหยาบจนถึงค่อนข้างจะละเอียด สีจะออกแดง เหลืองคละเคล้าแดงและก็เหลือง มีชั้น E ที่ออกจะกระจ่างแจ้ง มีสีจางหรือเทากว่าชั้นอื่น แล้วก็อาจมีเศษหินที่ย่อยสลาย หรือ พลินไทต์ปนเปอยู่ด้วยในดินล่าง ตัวอย่างอาทิเช่น ชุดดินท่ายาง โพนวิสัย จังหวัดชุมพร หาดใหญ่ ภูเก็ต เป็นต้น จัดว่าเป็นกลุ่มดินที่พบมากกรุ๊ปหนึ่งในประเทศไทย
 -ชุดดินอ่าวลึก
Reddish Brown Lateritic soils
เป็นดินเก่า มีวิวัฒนาการของหน้าตัดดี เกิดขึ้นจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุหลงเหลือของหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางรวมทั้งที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ดินข้างบนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลปนแดง มีเนื้อดินตั้งแต่ดินร่วน (loam) ถึง ดินร่วนซุยเหนียว (clay loam) ส่วนชั้นดินข้างล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียว ถึงดินเหนียว (clay) ที่มีสีแดง ลักษณะของดินแสดงการชะล้างสูง และอาจเจอชั้นศิลาแลงในด้านล่างของหน้าตัดดิน ลักษณะดินจะคล้ายกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Red Brown Earths ที่ต่างกันเป็นจะมีเป็นกรดมากกว่า pH ราวๆ 5-6 ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินลี้ บ้านจ้องมอง อ่าวลึก ตราด ฯลฯ
-ชุดดินปากช่อง
Red Brown Earth
เป็นดินที่มีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับหินปูน หรือหินที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง แล้วก็จะมีความเกี่ยวพันกับหินดินดานด้วย ดินมีสีแดง มีพัฒนาการของหน้าตัดดี เป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำดี กำเนิดในรอบๆที่ราบซึ่งเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากกษัยการ หรืออาจจะมีการเกิดตามไหล่เขาได้ ดินพวกนี้มีลักษณะสีดิน และการจัดตัวของชั้นดินใกล้เคียงกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Reddish Brown Lateritic มากมายไม่เหมือนกันที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน โดยที่ Red Brown Earth มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่า (pH โดยประมาณ 6.5-8.0) ชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินปากช่อง เป็นกรุ๊ปดินที่มีการปลูกพืชไร่แล้วก็ทำสวนผลไม้กันมาก
-ชุดดินจังหวัดยโสธร
Red Yellow Latosols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำดีจนถึงดีเกินไป มีอายุมาก หน้าตัดดินลึก มีลักษณะที่มีความหมายว่ามีการชะละลายสูง พัฒนาการของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-B (Box) หรือ A1-A3-B (Box) พบเป็นหย่อมๆในบริเวณลานกระพักสายธารขั้นสูง เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากตะกอนน้ำพาเก่ามากมาย มีสมบัติทางกายภาพดี แต่ว่าทรัพย์สมบัติทางเคมีไม่ค่อยดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีสีแดงหรือเหลืองตลอดหน้าตัดดิน ดินบนเนื้อดินหยาบคาย ดินด้านล่างมีพวกเซสควิออกไซด์สูง บางแห่งเจอหินแลงในตอนล่างของหน้าตัดดิน และไม่พบการเคลือบผิวของดินเหนียวในชั้น B ชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ศรีราชา จังหวัดยโสธร
-Reddish Brown Latosols
กำเนิดในรอบๆที่เกี่ยวเนื่องกับภูเขาไฟ วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นตะกอนหลงเหลือ หรือขี้ตะกอนดาดตีนเขา ของหินที่เป็นด่างได้แก่ บะซอลท์ แอนดีไซต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี และก็วิวัฒนาการของหน้าตัดดี มีหน้าตัดดินแบบ A-Box (ox = ออกไซด์ของเหล็ก) เนื้อดินเป็นดินเหนียวสีแดง สีแดงผสมน้ำตาล มีความร่วนซุยดี เป็นดินลึกมากมาย ชอบเหมาะสมกับการใช้ทำสวนผลไม้ ดังเช่น ชุดดินท่าใหม่
-Organic soils
Organic soils หรือเรียกว่า Peat and Muck soils เป็นดินที่มีลักษณะไม่เหมือนกันกับกรุ๊ปดินอื่นๆเนื่องจากว่าเป็นดินที่มีอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในองค์ประกอบมากกว่าปริมาณร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก หรือประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ล้วนๆพบในรอบๆแอ่งต่ำมีน้ำขังอยู่แทบตลอดปีและมีการสะสมของสิ่งของดินอินทรีย์สูง สำหรับในประเทศไทยพบมากทางภาคใต้ ในจังหวัดนราธิวาส โดยยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่พรุ ข้อดีคือสีจะคล้ำ มีอินทรีย์วัตถุสูง เป็นกรดจัด มีการปรับปรุงหน้าตัดดินน้อย ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-C เมื่อระบายน้ำออก จะหดตัวได้มาก ได้แก่ ชุดดินจังหวัดนราธิวาส พบได้บ่อยในภาคใต้ของเมืองไทย

 
กล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ ยี่ห้อ Leica Builder 100 - T100 9"
 
1.กล้องเล็งเป็นระบบเห็นภาพตั้งตรง
2. กำลังขยาย 30 เท่า
3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ปากกล้องไม่ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร
4. ขนาดความกว้างของภาพที่เห็นในระยะ 100 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.6 เมตร หรือ 1องศา 30 ลิปดา
5. ระยะมองเห็นภาพชัดใกล้สุดไม่เกิน 0.9เมตร
6. ค่าตัวคูณคงที่ 100
7. ค่าตัวบวกคงที่ 0
8. กำลังในการขยายภาพ 3 ฟิลิปดา
9. เป็นกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบวัดมุมแบบ Absolute Reading
10. หน่วยวัดเป็น องศา ลิปดา ฟิลิปดา
11. แสดงค่ามุมที่วัดได้ละเอียดโดยตรงไม่เกิน 5 ฟิลิปดา และ 10 ฟิลิปดา
12. ค่าความถูกต้องในการอ่านมุม ( Accuracy ) ไม่เกิน 9 ฟิลิปดา
13. หน้าจอแสดงผลเป็น LCD 1 หน้าจอ มีระบบให้แสงสว่างหน้าจอขณะทำงานและสามารถบอกระดับพลังงานได้
14. ความไวของระดับฟองกลม 10ลิปดา 2 มม.
15. ความไวของระดับฟองยาว 60ฟิลิปดา / 2 มม.
16. กล้องส่องหัวหมุด ( Optical Plummet ) กำลังขยาย 3 เท่า ปรับความคมชัดได้ตั้งแต่ระยะ 0.5 เมตร ขึ้นไป
17. สามารถแสดงผลทั้งเป็นมุมราบและมุมดิ่ง

 
การวัด (Measurement)
การวัด (Measurements) เป็นกรรมวิธีพื้นฐานของการได้มาซึ่งค่าสังเกต (Observations) ของข้อมูลตามที่ต้องการ เมื่อได้ก็ตามที่มีการวัด เมื่อนั้นย่อมมีความคลาดเคลื่อน (Errors) ขึ้นตามมาทุกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีการวัดครั้งใดที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนอยู่ด้วย นั่นคือ ในการวัดทุกครั้งจำเป็นจำต้องมีการประเมินค่าความถูกต้อง (Accuracy) และค่าความแม่นยำ (Precision) และนั่นหมายถึง ในศึกษาถึงความถูกต้องของการวัดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าใจถึงธรรมชาติ ชนิด และ ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่แต่ละกระบวนการวัดด้วย
การวัดและมาตรฐาน (Measurement and Standards)

  • การวัด เป็นกระบวนการหาขนาด ปริมาณ ของสิ่งที่ต้องการวัดด้วยการเทียบกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ใช้ในการหาขนาดและปริมาณต่างๆ เช่น
  • ความยาว น้ำหนัก ทิศทาง เวลา ตลอดจน ปริมาตร ตัวอย่างของการเทียบกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน เช่น ความยาวมาตรฐาน 1 เมตร คือ ระยะทางที่แสงเดินทางได้ในสุญญากาศเป็นเวลา 1/299,792,458 วินาที ซึ่งอาจจะทำการวัดเทียบกับสิ่งที่ใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิงนั้นโดย