แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Chigaru

หน้า: 1 ... 606 607 [608] 609
9106


เมื่อวันที่ 1 ก.ย. รถไฟฟ้าบีทีเอส [pr]ได้ออกประกาศ เรื่อง สิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ระบุว่า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ขอแจ้งให้ทราบว่าจะสิ้นสุดการจำหน่ายโปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน ทุกประเภท ผู้โดยสารสามารถซื้อ หรือเติมเที่ยวเดินทางได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 เป็นวันสุดท้าย ทั้งนี้ บัตรโดยสารที่มีเที่ยวเดินทางคงเหลือ สามารถใช้เดินทางได้จนกว่าเที่ยวเดินทางจะหมด หรือเที่ยวเดินทางหมดอายุการใช้งานอย่างใดอย่างหนึ่ง

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้น ประกอบกับความไม่แน่นอนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้นานแบบเมื่อก่อน อีกทั้งเรื่องการชำระค่าโดยสารล่วงหน้าดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป บริษัทฯ ได้พิจารณาเห็นว่า โปรโมชั่นเที่ยวเดินทาง 30 วัน สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ค่อนข้างจำกัด จึงจะยุติการทำโปรโมชั่นดังกล่าว

สำหรับอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในเส้นทางสัมปทาน 23.5 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิตไป สถานีอ่อนนุช และจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติไปสถานีสะพานตากสิน รวมส่วนต่อขยายจากสถานีสะพานตากสิน ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ ยังคงอยู่ในอัตรา 16 - 44 บาท ตามเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสารใบเดิมเพื่อเติมเงิน และใช้เดินทางได้ตามปกติ ทั้งบัตรสำหรับบุคคลทั่วไป และบัตรสำหรับนักเรียน นักศึกษา นอกจากนั้นในส่วนของบัตรสำหรับผู้สูงอายุ ยังคงได้รับโปรโมชั่นส่วนลดครึ่งราคาจากอัตราค่าโดยสารที่เรียกเก็บในอัตราเดิม


รายงานข่าวระบุว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ผู้ใช้บริการแสดงความไม่พอใจ โพสต์ความเห็นไปยังเฟซบุ๊กเพจ "รถไฟฟ้าบีทีเอส" จำนวนมากกว่า 1,200 ความคิดเห็น อาทิ

"ราคาก็แพง ราคาแบบปกติแต่ละเที่ยวก็แพงอยู่แล้ว ถึงที่ผ่านมามีราคาแบบเหมาก็จริง แต่มากำหนดใช้ภายใน 30 วัน พ้นปุ๊บ ตัดปั๊บ เริ่มซื้อนับใหม่ ถ้าไม่ปรับราคาให้ถูกลงก็ควรจะปรับปรุงให้ไม่หมดอายุมากกว่า ในเมื่อผู้โดยสารก็ซื้อแบบเหมาอยู่แล้ว ลองกลับไปพิจารณาเงื่อนไขใหม่หน่อยนะคะ คนอาจแห่ไปซื้อรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หัดไปคุ้นเคยกับการขึ้นรถเมล์กันเยอะขึ้นแน่ แล้วการบวกเพิ่มส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกเอาเปรียบขึ้นไปอีก ค่าเดินทางสวนทางกับแรงงานขั้นต่ำประเทศมาก แทนที่ประชาชนทุกคนจะได้ใช้บริการระบบขนส่ง กลับกลายเป็นบางส่วนแทบไม่มีโอกาสได้ใช้เลย"

"บ้าหรือเปล่า ไม่คิดว่า เหตุผลนี้จะออกมาจากผู้บริหารนะ ถ้าสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ คนที่เขาใช้อยู่ตลอดอยู่แล้ว ก็ต้องเติมเที่ยว 30 วันอยู่ดี สถานการณ์เปลี่ยนบ้าอะไร ให้คนที่จะใช้เขาคิดคำนวณการใช้เองสิ มาคิดแทนได้ไง แล้วเล่นยกเลิก 30 วันแล้วไง ราคาเที่ยวปกติก็ไม่ได้ปรับลดนี่ ถ้าจะยกเลิกซื้อล่วงหน้า 30 วัน แน่จริงก็ปรับลดราคาเที่ยวปกติลงมาด้วยสิ ทุกวันนี้ที่คนเขาไม่ได้เติมเที่ยว 30 วันกัน เพราะตอนนี้เขาเวิร์คฟอร์มโฮมไง ถ้าถึงวันที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติไปทำงานกันทุกวัน มันก็ต้องจำเป็นอยู่แล้วป่ะ"

"ระบบผูกขาด คนใช้งานไม่มีทางเลือกอื่น แต่กลับเปลี่ยนราคาซึ่งเเพงมากเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชน ขอให้กลับไปพิจารณาใหม่ว่าสมเหตุผลหรือไม่ ลูกค้าจะลดลงทันที"

"เป็นนโยบายที่เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบผู้บริโภคที่สุด คุณไม่สามารถทวงหนี้จากรัฐบาลได้ จึงมาใช้วิธีสกปรกเอาเปรียบประชาชนแบบนี้หรอคะ ประชาชนหาเช้ากินค่ำ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทแต่ต้องเสียค่าเดินทางไปกลับวันละ 118 บาท ทำงานแทบไม่ต้องคิดถึงเงินเก็บ มีเงินให้เหลือพอใช้ไปวันๆ นี่ก็บุญแล้ว คุณอ้างถึงการไม่วางแผนของประชาชน คุณจะมาคิดแทนประชาชนทำไมคะ เราซื้อด้วยเงินของเรา ทำไมถึงมาคิดว่าเราจะไม่วางแผน อย่ามาซ้ำเติมประชาชนตาดำๆ ในสถานการณ์ที่มันแย่อยู่แล้วแบบนี้เลยค่ะ"

"แบบนี้เขาเรียกหาเหตุผลมาเอาเปรียบนะคะ​ เศรษฐกิจ​แบบนี้​ คนใช้บีทีเอสประจำ​ เพราะมีตั๋ว 30 วัน​ คนใช้เขารู้ว่าเขาจะใช้แบบไหน​ คำนวณได้​ อย่างนี้เขาเรียกซ้ำเติมกันมากกว่า"

"ผมใช้ BTS เพราะมีแบบ 30 วัน คำนวนแล้วมันถูกกว่า ถ้ายกเลิกแบบนี้ ผมคงไปใช้ MRT แทน เพราะนั่งยาวทีเดียวถึงที่ทำงานเลย ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนให้ยุ่งยากด้วย จาก 26-28 บาทต่อเที่ยว กลายเป็น 59 บาทต่อเที่ยว แต่ใช้ MRT จ่ายแค่ 42 บาท ถ้าไม่คิดโปรมาทดแทน ระวังลูกค้าหายหมดนะครับ เพราะตัวเลือกอื่นมันก็มีอยู่นะครับ"

"ไม่ตอบโจทย์ตรงไหนคะ ปกติผู้โดยสารก็เลือกได้อยู่แล้วว่าจะเติมเที่ยวหรือเติมเงิน เติมเที่ยวก็มีให้เลือกหลายแบบตามความจำเป็นที่ต้องใช้อยู่แล้ว ทำไมต้องงดเติมเที่ยวล่ะ เที่ยวใช้ไม่หมดก็ตัดทิ้งไม่ทบไปเดือนอื่น คุณมีแต่ได้กับได้ ถ้าคนในประเทศไม่ช่วยเหลือกันเอาตัวรอดเพียงคนเดียวหรือพวกพ้องของตนเอง แบบนี้ไม่ต้องมาอยู่ประเทศเดียวกันหรอกค่ะ อย่าหวังแต่จะกอบโกยสิคะ ถ้าไม่มีผู้บริโภคอย่างเราคุณจะได้เงินจากไหน โปรดพิจารณาใหม่นะคะ #คนไทยเหมือนกัน"

"เข้าใจค่ะว่าแบกหนี้เยอะ รัฐไม่ยอมจ่าย แต่อย่าผลักภาระให้ประชาชนค่ะ ส่วนต่อขยายต้องเพิ่มอีก 15 บาท เท่ากับว่าต้องจ่ายจริง 44 บวก 15 เท่ากับ 59 ไป-กลับ 118 บาท ประทานโทษนะคะบ้านไม่ได้อยู่ติดบีทีเอสค่ะ กรุณาเหลือเงินให้ต่อรถต่อเรือต่อวินด้วยค่ะ"

"ขายแบบเดิมแหละดีแล้ว แล้วก็ประกาศไปเลยว่าถ้ามีการล็อคดาวน์อีกจะไม่มีการคืนเงินหรือขยายเวลาสำหรับคนที่ซื้อแบบเหมาเที่ยว ให้ผู้โดยสารแบกรับความเสี่ยงเอง ถ้าแบบไหนมันคุ้มกว่าเดี๋ยวผู้โดยสารเค้าเลือกเอง ไม่ใช่ไม่มีตัวเลือกให้เค้า"

"ค่าแรงขั้นต่ำคนในประเทศ 300 เป็นค่าเดินทางไปแล้ว 100 ทุเรศ"

"หากใครใช้คนละครึ่งก็พอบรรเทาไปได้บ้างครับ ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม หวังว่าต้นปีหน้าถ้าทุกอย่างลงตัว โควิดไม่หนักก็ขอให้เอาตั๋ว 30 วันกลับมาเถอะครับ หรือ จะทำแบบซื้อเหมาจำนวนเที่ยวแต่ไม่จำกัดวัน ต่อให้ราคาต่อเที่ยวจะแพงกว่าแบบ 30 วันหน่อยคนก็พร้อมจ่ายครับ"

"เหมือนผลักภาระมาให้ผู้โดยสารแถมยังเอาผู้โดยสารมาอ้าง ผู้โดยสารเขาวางแผนการเดินทางอยู่แล้ว ทำแบบนี้จากที่ผู้โดยสารลดลง มันจะยิ่งลดลง ลงไปอีก"

"หนูเป็นเด็กนักศึกษาปี 1 ธรรมดาๆ ที่ไปทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว ไปทำร้านกาแฟออกบูธที่สยามค่ะ และวางแผนจะทำงานหนึ่งเดือน แล้วต้องไปกลับด้วยรถไฟฟ้า เลยตัดสินใจซื้อบัตรแบบ 50 เที่ยว เพราะถูกกว่าเยอะมาก พอมาเกิดการล็อกดาวน์ของรัฐที่มาประกาศตอนล็อกดาวน์กลางคืน และจะมีผลในอีกไม่กี่วัน หนูทำงานได้แค่ 9 วันค่ะ ซื้อบัตรรถไฟฟ้าพึ่งใช้ได้ 2-3 วันเหลืออีกประมาณ 40 กว่าเที่ยว หมดค่าบัตรไป 950 บาท หนูเที่ยวไปติดต่อว่าจะมีอะไรช่วยเหลือหรือคืนเงินตรงนี้ไหม เขาบอกรอประกาศทางเพจ และพนักงานที่ตอบบอกคิดว่าจะมีส่วนลดให้เที่ยวต่อไปที่เราใช้ คือไม่มีอะไรแน่นอนเลยค่ะ หมดความมั่นใจมากว่าจะได้ชดเชย จนตอนนี้หนูก็ไม่มั่นใจว่าจะได้เงินคืนหรือส่วนลดในส่วนนี้จริงๆไหม กับเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ งานเราก็ไม่ได้ทำ ไม่มีรายได้ เสียค่าเที่ยวบัตรแพงๆ ไปแต่ไม่ได้ใช้ และความรับผิดชอบต่อลูกค้าของทางรถไฟฟ้าบีทีเอส"

"กลุ่มลูกค้าของคุณมีทุกเพศทุกวัยนะคะ ตั้งแต่เด็กเล็ก นักศึกษา วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ทุกคนไม่ได้เงินเดือนห้าหมื่นนะคะ นี่ประเทศไทยเงินเดือนขั้นต่ำคือหมื่นห้า บางจังหวัดหรือบางหน่วยงานได้ไม่ถึงด้วยซ้ำ ทำไมถึงเอาเปรียบประชาชนขนาดนี้คะ เป็นถึงขนส่งสาธารณะ ไม่ควรผลักภาระให้ผู้ใช้บริการค่ะ ควรจะเอื้อประโยชน์ด้วยซ้ำ และที่ทุกคนวางแผนการเดินทางตอนนี้ไม่ได้ เพราะการล็อคดาวน์ประเทศค่ะ เมื่อสถานการณ์กลับมาดีขึ้น ทุกคนยังต้องเดินทางและออกไปใช้ชีวิตตามปกตินะคะ"

"เขามีแต่จะลดราคาระบบขนส่งมวลชน เผื่อให้คนมาใช้งาน นี้เล่นยกเลิกแล้วผลักภาระในคนใช้บริการ คิดง่ายๆ ครับคนทำงาน สีลม สุขุมวิท อยู่ปลายๆ สายเผื่อประหยัดค่าที่พัก เดิมเหมาจ่าย 20 กว่าบาท กลายเป็น 44 บาท นี้ยังไม่รวมค่าส่วนต่อขยายนะครับ ถามว่าจะให้ย้ายไปใกล้ที่ทำงาน ค่าที่พักก็คูณ 2-3 เท่าตัวไป จะอ้างว่าพฤติกรรมคนใช้บริการเปลี่ยนเพราะโควิดมันก็ต้องแน่นอนแหละครับ เพราะคนยังกลับไปทำงานที่บริษัทไม่ได้ทั้งหมด คนก็เลยไม่เติมเที่ยวกัน ถ้าโควิดหายเดี๋ยวคนก็กลับไปเติมกันเองแหละครับ ตรรกะแค่นี้คิดกันไม่ได้เลยหรือยังไง?"



อนึ่ง สำหรับเที่ยวเดินทาง 30 วัน ก่อนหน้านี้ เป็นการเติมโปรโมชันลงในบัตรแรบบิท ทั้งแบบบุคคลทั่วไป และนักเรียน-นักศึกษา ใช้เดินทางได้ตามจำนวนเที่ยวที่เลือกตามโปรโมชั่น โดยไม่จำกัดระยะทาง เฉพาะสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม ยกเว้น สถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีเคหะ) และสีลม (ตั้งแต่สถานีโพธิ์นิมิตร ถึงสถานีบางหว้า) ต้องจ่ายเพิ่ม 10-15 บาท ราคาสำหรับบุคคลทั่วไป 15 เที่ยว 465 บาท เฉลี่ย 31 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 725 บาท เฉลี่ย 29 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 1,080 บาท เฉลี่ย 27 บาทต่อเที่ยว, 50 เที่ยว 1,300 บาท เฉลี่ย 26 บาทต่อเที่ยว ราคาสำหรับนักเรียน นักศึกษา 15 เที่ยว 360 บาท เฉลี่ย 24 บาทต่อเที่ยว, 25 เที่ยว 550 บาท เฉลี่ย 22 บาทต่อเที่ยว, 40 เที่ยว 800 บาท เฉลี่ย 20 บาทต่อเที่ยว และ 50 เที่ยว 950 บาท เฉลี่ย 19 บาทต่อเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้ผู้โดยสารต้องเสียค่าโดยสารตามอัตราปกติ โดยสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 25 สถานีเดิม คิดค่าโดยสารไปสถานีที่ 1 ราคา 16 บาท, สถานีที่ 2 ราคา 23 บาท, สถานีที่ 3 ราคา 26 บาท, สถานีที่ 4 ราคา 30 บาท, สถานีที่ 5 ราคา 33 บาท, สถานีที่ 6 ราคา 37 บาท, สถานีที่ 7 ราคา 40 บาท, สถานีที่ 8 เป็นต้นไป ราคา 44 บาท แต่ถ้าเข้าสถานีส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท ตั้งแต่สถานีบางจาก ถึงสถานีแบริ่ง และส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีลม ตั้งแต่สถานีโพธินิมิตร ถึงสถานีบางหว้า จะคิดค่าโดยสารเพิ่มอีก 15 บาท เป็น 59 บาท (นักเรียน-นักศึกษาเพิ่มอีก 10 บาท เป็น 54 บาท) ส่วนรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ยังคงไม่เก็บค่าโดยสาร เนื่องจากอยู่ระหว่างการเตรียมขออนุมัติสัญญาสัมปทานกับคณะรัฐมนตรี (ครม.)

9107


หลังจาก “สมาคมสายการบินประเทศไทย [pr]” ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสายการบิน 7 สาย ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ นกแอร์ ไทยสมายล์ ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ออกคำสั่งเริ่มบังคับใช้ให้สายการบินยกเลิกทำการบินเส้นทางในประเทศเข้าออกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและกินพื้นที่เป็นวงกว้างทั่วประเทศ โดยได้ขอติดตามความคืบหน้าเรื่องการจัดสรรสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือ “ซอฟท์โลน” วงเงิน 5,000 ล้านบาทแก่สายการบินทั้ง 7 สาย

พร้อมตอกย้ำถึงความจำเป็นของซอฟท์โลนเพื่อนำมารักษาสภาพการจ้างงานของพนักงานทั้ง 7 สายที่มีรวมกันกว่า 2 หมื่นคน ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจากผลกระทบของคลื่นยักษ์โควิด-19 จนไม่สามารถทำการบินภายในประเทศเพื่อนำกระแสเงินสดมาหมุนเวียนธุรกิจ

กระทั่งศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้ประกาศคลายล็อกการเดินทางภายในประเทศ ทาง กพท.จึงออกประกาศว่าสายการบินสามารถทำการบินเข้าออกพื้นที่สีแดงเข้มได้ เริ่มตั้งแต่วันนี้ (1 ก.ย.) เป็นต้นไป และผู้โดยสารต้องดำเนินการตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขการเดินทางเข้าออกของจังหวัดจุดหมายปลายทาง หลังจากต้องหยุดบินเป็นเวลากว่า 1 เดือน!

ล่าสุดแหล่งข่าวจากสมาคมสายการบินประเทศไทย ระบุว่า สมาคมฯจะเข้าหารือกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในวันที่ 7 ก.ย.นี้ เวลา 15.30 น. เพื่อขอหารือเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ในการขอ “สินเชื่อเพื่อรักษาสภาพการจ้างงาน” วงเงิน 5,000 ล้านบาท สำหรับนำมาใช้จ่ายด้านการจ้างงานในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2564 ซึ่งเป็นสินเชื่อที่สมาคมฯยังต้องการ!

แม้ว่าภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการ อนุญาตให้ทำการบินเส้นทางบินภายในประเทศเข้าออกพื้นที่สีแดงเข้มแล้วก็ตาม แต่แนวโน้มในช่วงแรกของการคลายล็อก จะยังมีผู้โดยสารไม่มากนัก ส่วนใหญ่เดินทางเท่าที่จำเป็น และสายการบินยังประสบสถานการณ์ยากลำบากจากผลกระทบของโควิด-19 ระลอกล่าสุด ต้องรัดเข็มขัดประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง

นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยเวียตเจ็ท กล่าวในฐานะอุปนายกสมาคมสายการบินประเทศไทยว่า จากการที่ นายอาคม รมว.คลัง ได้เรียกสมาคมฯให้เข้าพบเพื่อหารือในสัปดาห์หน้า หวังว่ากระทรวงการคลังจะมีแนวทางความช่วยเหลืออย่างชัดเจนและรวดเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้!

“ตอนนี้สมาคมฯยังคงรอเงินกู้อยู่ รอด้วยความหวัง เพราะตอนนี้กระแสเงินสดของทุกสายการบินก็ตึงกันหมด แต่ยังไม่ถึงกับตาย ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดในงานแถลงข่าวของสมาคมฯเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ว่า หากหยุดบินนาน 3 เดือน ทุกสายการบินตายกันหมด แม้ปัจจุบันรัฐจะประกาศคลายล็อกการเดินทางแล้ว แต่ทางสมาคมฯก็อยากจะขอความเห็นใจและความกรุณาจากกระทรวงการคลังว่าจะสามารถช่วยเหลือสมาคมฯอย่างไรได้บ้าง เพราะสายการบินเป็นธุรกิจต้นน้ำ เป็นหัวหอกในการขนคนเข้าประเทศ”

โดยสถานการณ์การแข่งขันด้านท่องเที่ยวในตอนนี้เปลี่ยนไป! ไม่ใช่ธุรกิจกับธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นการแข่งขันระหว่างประเทศแล้ว! อย่างประเทศสิงคโปร์ก็มีมาตรการช่วยเหลือสิงคโปร์แอร์ไลน์ ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางได้ผลักดันในสายการบินต่างๆ ดึงคนออกเดินทางระหว่างประเทศด้วยการแวะเปลี่ยนเครื่องหรือพำนักใช้จ่ายที่ฮับบินตะวันออกกลาง ขณะที่สายการบินในประเทศไทยยังไม่ได้รับความช่วยเหลือมากพอในเรื่องของการนำเงินสดมาหมุนเวียนธุรก


ด้านความเคลื่อนไหวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ กล่าวว่า หลังจากประเมินสถานการณ์โควิด-19 ที่ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทยอยลดระดับลงต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดว่าตลาดการเดินทางในประเทศจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งได้ในเดือน ต.ค.นี้ เพราะในเดือน ก.ย.จะเป็นช่วงที่มีวัคซีนเข้ามาเพิ่มอีกจำนวนมาก ถือเป็นเดือนแห่งการเร่งฉีดวัคซีนอย่างเต็มที่ โดยคาดว่าในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลจะสามารถฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรได้ไม่ต่ำกว่า 70% ซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้

หลังจากนั้นจะเดินหน้าตามแผน “การเปิดประเทศ” ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยในวันที่ 3 ก.ย.นี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะประชุมร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อหารือถึงแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นในวันที่ 5 ก.ย.นี้ คาดว่าจะมีแผนดำเนินงานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมออกมาเพิ่มเติม

“วันนี้ (1 ก.ย.) รัฐบาลได้เริ่มผ่อนคลายให้หลายกิจการกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยฟื้นบรรยากาศในภาพรวมให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการใช้จ่าย การเดินทาง แต่สิ่งที่ต้องทำร่วมกันคือการควบคุมการระบาดของโควิด-19 กดตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้กลับมาสูงขึ้นอีก และหลังจากผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ แล้ว หากภาพรวมออกมาดูดี เชื่อว่าจะสามารถเดินหน้าตามแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ โดยเฉพาะในพื้นที่หรือจังหวัดที่มีความพร้อมสูงก่อน”

นายพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการเปิดพื้นที่นำร่องรับต่างชาติ จะเน้นพิจารณาพื้นที่เดิมที่กำหนดไว้ก่อน ซึ่งขณะนี้ยังเหลืออีก 5 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ประจวบคิรีขันธ์ (หัวหิน) เพชรบุรี (ชะอำ) และชลบุรี ตามแผนเดิมที่วางไว้ 10 พื้นที่หลัก หลังจากเปิดไปแล้ว 4 พื้นที่ ได้แก่ โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์, โครงการสมุย พลัส โมเดล รวมถึงโครงการกระบี่ อีเวน มอร์ อะเมซิ่ง และโครงการพังงา พร้อมต์ โดยได้ตัดจังหวัดบุรีรัมย์ ออกจากการเป็นพื้นที่นำร่องแล้ว เนื่องจากเดิมได้เลือกเป็นพื้นที่นำร่อง เพราะมีเงื่อนไขผูกกับการจัดการแข่งขัน “โมโตจีพี” เมื่อเลื่อนการจัดงานนี้ไปแล้ว ก็เท่ากับไม่มีเงื่อนไขผูกมัดเอาไว้

ส่วนจังหวัดที่จะพิจารณามาแทนบุรีรัมย์นั้น เบื้องต้นเป็น จ.ระยอง จ.จันทบุรี และ จ.ตราด เน้นพื้นที่เกาะเป็นหลัก ง่ายต่อการดูแลและควบคุม และมีเกาะท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูง อาทิ เกาะช้าง ซึ่งขณะนี้ดำเนินการตามมาตรฐานแนวทางปฏิบัติ (SOP) เสร็จแล้ว คนในพื้นที่ได้รับวัคซีนเกือบครบ 70% รวมถึงเกาะกูด เกาะมันนอก เกาะเสม็ด ที่มีจำนวนประชากรในพื้นที่ไม่มาก สามารถฉีดวัคซีนได้ตามเกณฑ์สร้างภูมิคุ้มกันหมู่

“เงื่อนไขหลักในการเปิดพื้นที่นำร่อง ยังเน้นเงื่อนไขสำคัญคือคนในพื้นที่ต้องได้รับวัคซีนไม่ต่ำกว่า 70% ของจำนวนประชากรรวม และคนในชุมชนจะต้องเห็นด้วยและยอมรับการเปิดพื้นที่ดังกล่าว หากทำได้จึงจะถือว่ามีความพร้อมในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจริงๆ”

9109

เราคือใคร? ขายอะไร? ความน่าเชื่อถือ? เราคือจุดศูนย์รวมเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตท่อเหล็ก รวมถึงเครื่องตัดไฟเบอร์เลเซอร์ เครื่องตัดใบเลื่อยทุกชนิด [pr] ใบเลื่อยตัดไม้ งานลับคมใบเลื่อยครบวงจร ตลอดระยะเวลาเกือบ30ปี เราเป็นที่ปรึกษา ให้บริการจัดหาและติดตั้งเครื่องจักรที่ใช้สำหรับการผลิตเหล็กรูปพรรณ จึงทำให้เรามีความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าได้
เป็นอย่างดี ผสานกับทีมงานวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในแต่ละด้าน  ทำงานกันเป็นระบบ  เพื่อการเข้าถึงความต้องการและแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี  จึงทำให้เราได้รับความไว้วางใจด้วยดีเสมอมา  เราไม่ได้เพียงแค่จำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ แต่ยังคงคำนึงถึงการบริการหลังการขาย ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของคุณ 
สนใจสินค้า หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่
Website: www.takeco.com [pr]
TEL: (+66)034-495106-8
Mobile: (+66)081-6143821
Email: info@takeco.com
We are pleased to service and assist for your all metal machineries.
We provide not only high quality products but also do care after sales service.    
Please let us be a part of your success...

9110


ในงานสัมมนา Thailand Focus 2021: Thriving in the Next Normal หัวข้อ “ธุรกิจนวัตกรรมของไทย” จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย [pr] (ตลท.) เปิดพื้นที่ให้แบรนด์ไทยที่มีชื่อเสียงในระดับโลกและระดับภูมิภาคได้แชร์แนวคิดการทำธุรกิจภายใต้วิถีธุรกิจยุคใหม่

หนึ่งในนั้นคือ "Pomelo Fashion หรือ โพเมโล" ในฐานะบริษัททางด้านแฟชั่น และเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ มีต้นกำเนิดและสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี 2556 เมื่อ "เดวิด จู" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง มีความสนใจที่จะทำธุรกิจในรูปแบบขายสินค้าเฉพาะกลุ่มมากกว่าธุรกิจแนว General E-commerce หรือ ขายสินค้าหลากหลาย จึงก่อตั้ง “Pomelo” ขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพพอที่จะเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของภูมิภาค

ปิดจุดอ่อนแฟชั่นเทค

“โพเมโล” เป็นแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมโยงทั้งสินค้าของบริษัท และแบรนด์เสื้อผ้าราว 275 แบรนด์ในแพลตฟอร์มเดียวกัน รวมทั้งมีลูกค้ามากกว่า 2 ล้านรายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีสำนักงานอยู่ในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ อีกด้วย

เดวิด เล่าว่า บริษัทให้ความสนใจในตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น ตลาดแฟชั่นในกลุ่มเจน Z และ กลุ่มมิลเลนเนียล โดยตลาดแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีมูลค่าสูงถึง 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีส่วนต่างของราคาและต้นทุนสูง

“ทุกปีกูเกิลและเทมาเส็กได้ออกรายงานวิจัยเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ และการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรายงานนั้นคาดการณ์ตลาดอีคอมเมิร์ซของภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าสูงขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่จริงๆ แล้ว บริษัทสามารถทะลุเป้าได้เร็วกว่าที่คาดไว้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดในภูมิภาคนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อีคอมเมิร์ซเติบโตเช่นนี้ก็เนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19”

ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ถูกดึงดูดเข้ามามากขึ้น โพเมโลเองก็มีพาร์ทเนอร์รายสำคัญ อย่างเช่น เครือเซ็นทรัล และยังมีทุนจากนักลงทุนเข้ามาอีกด้วย ในขณะเดียวกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีก็ยังไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะโปรแกรมที่สามารถค้นหาข้อมูลของลูกค้าและวิเคราะห์ตลาดให้ละเอียดยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออีคอมเมิร์ซอย่างมาก

อีกทั้งการพัฒนาทางด้านเอไอทั้งในส่วนของ แมชชีนเลินนิ่ง เอไอและบิ๊กดาต้า ทำให้บริษัทต้องลงทุนเพิ่มตลอดเวลา ดังนั้น การเข้าถึงทุนจึงสิ่งสำคัญต่อบริษัทอีคอมเมิร์ซ แต่กระนั้นถึงแม้ว่าบริษัทของเขายังไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็กำลังมองดูลู่ทาง และคาดว่าหากจะจดทะเบียนก็ควรจะเป็นตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเพราะมีสภาพคล่องสูง และมีนักลงทุนหลากหลายประเภทที่บริษัทสามารถจะเข้าถึงได้

“เมื่อมองดูเทรนด์ต่างๆ บนลาซาด้า จะเห็นว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีทรัพยากรทั้งหมดพร้อมสำหรับนวัตกรรม ซึ่งกุญแจสำคัญในสถานการณ์นั้นคือ ทุกภาคส่วนจะต้องมีการเปลี่ยนผ่านในเรื่องของดิจิทัล ทางเราเลือกที่จะเข้าสู่วงการแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ เพราะเราเริ่มมองเห็นโอกาสที่แตกต่างที่จะนำไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า ประการที่สองคือเรื่องของคน เราได้มีการเรียนรู้จากผู้ประกอบการและผู้ผลิตรายอื่น จึงเป็นจุดเริ่มต้นในสิ่งนี้”


รวบตลาดบริหารโลจิสติกส์

แบรนด์ต่อไปที่จะกล่าวถึงนั่นคือ “a Commerce (เอคอมเมิร์ซ)” สตาร์ทอัพที่ให้บริการแพลตฟอร์มและโซลูชั่นสำหรับอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วยแก้ปัญหาในเรื่องของความซับซ้อนและการกระจายตัวของตำแหน่งอีคอมเมิร์ซทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการวางแผนและการลงทุนสำหรับแบรนด์ต่างๆ ในการเปิดตัวแบบอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจร 

เอคอมเมิร์ซทำหน้าที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับแบรนด์ ที่ช่วยดูแลจัดการเส้นทางอีคอมเมิร์ซในตลาดต่างๆ และช่วยเหลือในเรื่อง BI, CRM, แอดมินดูแลระบบ และ APIs รวมไปถึงระบบการจัดส่งและการจัดส่งสินค้า

เอคอมเมิร์ซ เริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้การบริหารของ พอล ศรีวรกุล ระบุว่า สิ่งที่ทำให้ไทยน่าสนใจคือ ยอดการซื้อแต่ละครั้งหรือที่เรียกว่า basket size สูงอย่างน่าพอใจ เมื่อเทียบกันอินโดนีเซียที่มีขนาดของตลาดใหญ่กว่า แต่ basket size น้อยกว่าไทย นอกจากนี้ไทยก็ยังมีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีเพียงพอที่จะรองรับพัฒนาการของอีคอมเมิร์ซ ดังนั้น เมื่อเขาเริ่มธุรกิจในปี 2556 ก็เริ่มเห็นว่าตลาดเริ่มขยายตัว

“ตอนนี้ไทยมีอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ๆ อยู่ในตลาดหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ลาซาด้า ช้อปปี้ เจดีดอทคอม รวมทั้งมาเจนโตะ และอื่น ๆ นอกจากนี้โซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ค ก็เข้ามามีบทบาทในตลาดนี้เช่นกัน ที่ผ่านมาได้ร่วมงานกับแบรนด์มากกว่า 150 แบรนด์ เนื่องจากบรรดาเจ้าของแบรนด์ต่างเริ่มหาหนทางที่จะเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น รวมทั้งพยายามหาข้อมูลเพื่อรู้จักลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น การเลือกซื้อ การเลือกวิธีการจ่ายเงิน ดังนั้น เอคอมเมิร์ซ จึงได้ให้บริการข้อมูลเหล่านั้นแก่ลูกค้า และให้ลูกค้าแบรนด์ต่างๆ สามารถเข้าถึงช่องทางการซื้อขายที่หลากหลาย”

พอล กล่าวอีกว่า ตลาดของสิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย จะมีพัฒนาการที่สูงกว่าตลาดในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ทำให้บริษัทหันมาลงทุนแพลตฟอร์มในตลาดนี้และก่อตั้งบริษัทในไทย นอกจากนี้บริษัทตัดสินใจที่จะระดมทุนผ่านหุ้นนอกตลาดหรือ private equity ก็สามารถระดมทุนได้สูงถึง 100 ล้านดอลลาร์และได้พาร์ทเนอร์อย่าง DKH ที่เป็นผู้กระจายสินค้ารายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาให้คำปรึกษา ซึ่งช่วยด้านยุทธศาสตร์การเติบโตได้อย่างมาก

“บริษัทนวัตกรรมหน้าใหม่ สามารถเรียนรู้ได้จากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น และสามารถนำเอาความรู้ที่ได้อย่างการกระตุ้นยอดขายออนไลน์มาปรับใช้เพื่อให้บริการแก่ลูกค้ารายอื่นๆ และมุมมองที่หลากหลายมากขึ้นช่วยให้บริษัทของคุณมีนวัตกรรมเพิ่มขึ้นเช่นกัน”

9111


รอยเตอร์ – ออสเตรเลียจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ [pr] 500,000 โดสจากสิงคโปร์ในสัปดาห์นี้เป็นข้อตกลงยืมวัคซีนที่ทำร่วมกับสิงคโปร์เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรที่ได้รับวัคซีนในแดนจิงโจ้

รอยเตอร์รายงานวันนี้(31 ส.ค)ว่า นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สกอตต์ มอร์ริสสัน แถลงวันอังคาร(31)ว่า ได้ทำข้อตกลงยืมวัคซีนไฟเซอร์ร่วมกับสิงคโปร์ก่อนหน้า และภายในสัปดาห์นี้จะมีการส่งวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 500,000 โดสจากสิงคโปร์มายังออสเตรเลีย

ภายใต้ข้อตกลงแคนเบอร์ราจะส่งคืนวัคซีนจำนวน 500,000 โดสที่เท่ากันกลับไปให้กับสิงคโปร์ในเดือนธันวาคม เป็นข้อตกลงยืมวัคซีนที่จะเปิดโอกาสเร่งโครงการแจกวัคซีนโควิด-1 หลังจากที่เคสเพิ่มขึ้นสูงขึ้น

“จะมีวัคซีนเพิ่มขึ้นอีก 500,000 โดสที่จะเกิดขึ้นในเดือนกันยายนมิเช่นนั้นแล้วจะต้องรออีกไม่กี่เดือนจากนี้ เป็นการเร่งโครงการแจกวัคซีนของพวกเราในช่วงเวลาสำคัญนี้ที่เรากำลังเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย 70% และ 80% พวกนี้” มอร์ริสสันกล่าวผ่านแถลงการณ์กับนักข่าวในกรุงแคนเบอร์รา

ออสเตรเลียประสบความสำเร็จในการควบคุมโควิด-19จากการล็อกดาวน์และมาตรการกักกันโรคอย่างเข้มงวด แต่ทว่าโครงการแจกวัคซีนที่มีความล่าช้าได้ทำให้ประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการระบาดของไวรัสเดลตาที่แพร่ระบาดง่าย

ทั้งนี้ผู้ได้รับวัคซีนโควิด-19ครบโดสในประเทศออสเตรเลียมีแค่เพียง 28% เท่านั้นในเวลานี้เทียบกับจำนวน 80% ของการได้รับวัคซีน 2 เข็มครบโดสของสิงคโปร์ที่ประสบความสำเร็จสามารถให้ภูมิคุ้มกันกับประชากรได้

ในวันอังคาร(31)กรุงแคนเบอร์ราขยายการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดออกไปอีก 2 สัปดาห์และที่รัฐวิกตอเรียซึ่งถือเป็นรัฐที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับ 2 คาดว่าจะทำตามอย่างหลังจากนั้น

ที่ผ่านมากรุงแคนเบอร์ราอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์นาน 3 สัปดาห์หลังเกิดเคสใหม่ที่เชื่อว่าจะมาจากรัฐนิวเซาท์เวลส์ซึ่งเป็นศูนย์กลางระบาดของโรคโควิด-19ในออสเตรเลีย

“เรากำลังทำให้เคิร์ฟต่ำลงและกำลังจะถึงจุดสุดยอดของการระบาด อย่างไรก็ตามกระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างล่าช้าและมันต้องใช้เวลา” มุขมนตรีเขตปกครองกรุงแคนเบอร์รา แอนดรูว์ บาร์( Andrew Barr) แถลง

ด้านนายกรัฐมนตรีรัฐวิกตอเรีย แดน แอนดรูว์ส( Dan Andrews) แสดงความเห็นว่า ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการแจกวัคซีนโควิด-19 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการผ่อนคลายมาตรการ แต่ทางรัฐจะวางกรอบในวันพุธ(1 ส.ค)เพื่อลดจำกัดเนื่องมาจากมีจำนวนผู้รับวัคซีนเพิ่มขึ้น

9112


สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) เปิดตัวหนังสือ “Multi Mentoring System วิจัยไทยก้าวไกลด้วย MMS [pr]” ภายในงาน Brainpower Symposium “New Era, New Brainpower, New Skills: ทัศนะการพัฒนากำลังคนเพื่อโลกยุคใหม่” ที่มีผู้บริหารระดับสูงจากมหาวิทยาลัยและนักวิจัยจากทั่วประเทศเข้าร่วมการประชุมโดยหนังสือเล่มนี้เป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์การพัฒนาระบบการสนับสนุนนักวิจัยผ่านระบบ Multi Mentoring System (MMS) โดยระบบได้มีการพัฒนา “นักวิจัยพี่เลี้ยง” (Mentor) ขึ้นในมหาวิทยาลัย และมี “หัวหน้าทีมนักวิจัยพี่เลี้ยง” (Head Coach) ที่เป็นนักวิจัยผู้ประสบความสำเร็จสูง ที่ร่วมสร้างคุณประโยชน์ไม่เฉพาะแก่นักวิจัยรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังสร้างผลดีต่อสถาบันและชุมชนให้เห็นคุณค่าของการวิจัย รวมทั้งช่วยยกระดับความเข้มแข็งด้านการวิจัยของสถาบันวิจัย

 นอกจากนี้กลไกของ MMS ไม่ได้มีเฉพาะนักวิจัยพี่เลี้ยง และหัวหน้าทีมนักวิจัยพี่เลี้ยงเท่านั้น   ยังมีกลไกระดับสถาบัน ที่รวมตัวกันเป็นเครือข่ายร่วมมือกัน ในการยกระดับขีดความสามารถด้านการวิจัย  และยกระดับคุณภาพ ปริมาณผลงานวิจัย ผ่านปฏิสัมพันธ์แบบเครือข่าย ที่มีความร่วมมือและช่วยเหลือกัน หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะสมกับผู้บริหารหน่วยงานรวมถึงนักวิจัยสามารถนำเอาองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้พัฒนาระบบงานวิจัยไทยซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ



ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สกสว. กล่าวว่า นักวิจัยถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ โดยใช้วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ในการพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตเข้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งการพัฒนากำลังคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ววน. ของประเทศ โดยในอดีตที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ริเริ่มการพัฒนาเส้นทางอาชีพนักวิจัย โดยมีการแบ่งเส้นทางเริ่มจากอาจารย์นักวิจัยรุ่นใหม่ นักวิจัยรุ่นกลาง เข้าสู่การเป็นเมธีวิจัยอาวุโส และศาสตราจารย์วิจัยดีเด่น โดยจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า หนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้นั้นคือ การที่ประเทศมีนักวิจัยอยู่ในปริมาณที่เพียงพอต่อการพัฒนา นอกจากนี้ในเชิงคุณภาพจะทำให้เกิดการสร้างผลงานวิจัยและนวัตกรรมตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ ซึ่งหลังจากการปฏิรูประบบ ววน. ของประเทศ สกว. ได้เปลี่ยนบทบาทเป็น สกสว. จัดสรรงบประมาณกองทุนส่งเสริม ววน. ทำให้เกิดการบูรณาการกับทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลัง ซึ่งการพัฒนานักวิจัยในรูปแบบ MMS ก่อให้เกิดการทำงานบนฐานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคนโยบาย มหาวิทยาลัยและนักวิจัยรุ่นต่าง ๆ ก่อให้เกิดผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ประสิทธิภาพ



ทางด้าน ศาสตราจารย์ ดร.โสพิศ วงศ์คำ เมธีวิจัยอาวุโส กล่าวว่า ระบบ MMS เป็นกลไกในการสนับสนุนและส่งเสริมนักวิจัยรุ่นใหม่ให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานวิจัยให้กับประเทศ รวมถึงการพัฒนานักวิจัยรุ่นกลาง กลับเข้ามาขับเคลื่อนการทำงานด้านการวิจัยต่อไป MMS เป็นกลไกการเชื่อมต่อเชิงซ้อนซึ่งสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกันจนกระทั่งสามารถเป็นระบบการพัฒนานักวิจัยระดับประเทศ นอกจากนักวิจัยจะมีพี่เลี้ยง (Mentor) ในรายบุคคลแล้ว ยังมีมหาวิทยาลัย และโค้ช (Coach) ในแต่ละภูมิภาค รวมตัวกันเชื่อมโยงเป็นระบบแม่ข่าย โดยแบ่ง MMS ออกเป็น 9 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1-4 ภาคกลาง กลุ่มที่ 5 ภาคเหนือ กลุ่มที่ 6 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มที่ 7 ภาคใต้ กลุ่มที่ 8 มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และกลุ่มที่ 9 มหาวิทยาลัยราชภัฏ ราชมงคล ซึ่ง MMS แต่ละกลุ่มสามารถออกแบบการดำเนินงานที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ อย่างไรก็ตามยังคงมีเป้าหมายร่วมกันคือการทำให้นักวิจัยสามารถมีเส้นทางอาชีพและตอบโจทย์การแก้ปัญหาให้กับประเทศ โดยจากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า ปัจจัยความสำเร็จของงานวิจัยจากนักวิจัยรุ่นใหม่ มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง 3 ส่วนประกอบด้วย 1) ปัจจัยด้านตัวนักวิจัย 2) ปัจจัยด้านการบริหาร 3) ปัจจัยภายนอก ซึ่งได้รวบรวมในหนังสือหนังเล่มนี้ด้วย



อย่างไรก็ตามหนังสือ “Multi Mentoring System วิจัยไทยก้าวไกลด้วย MMS” เป็นการถอดประสบการณ์และองค์ความรู้จากการพัฒนาระบบนักวิจัยพี่เลี้ยง MMS ซึ่งสามารถส่งต่อองค์ความรู้และภาระสำคัญที่เป็นแนวหน้าในการพัฒนากำลังคนวิจัย หน่วยงานต้นสังกัดโดยเฉพาะมหาวิทยาลัย และ สป.อว. รวมถึงหน่วยงานในระดับหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) โดย สกสว. มุ่งมั่นการสนับสนุนหน่วยงานแนวหน้าในทุกมิติ เพื่อให้สามารถสร้างบุคลากรวิจัยที่มีคุณภาพและสร้างประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป โดยผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด หนังสือ “Multi Mentoring System วิจัยไทยก้าวไกลด้วย MMS” ในรูปแบบ E-Book ได้ที่ www.tsri.or.th [pr]

9113


นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 30 ส.ค.2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรืออีคอมเมิร์ซ ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ได้นำเสนอ  โดยแผนดังกล่าวตั้งเป้าเพิ่มการเติบโตของการค้าอีคอมเมิร์ซ [pr] จากปี 2562 ที่มีมูลค่า 4.03 ล้านล้านบาท ให้มีมูลค่า 5.35 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.32 ล้านล้านบาท ภายในปี 2565

คณะกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ครอบคลุมในทุกมิติที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซของประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้การดำเนินการขับเคลื่อนและพิจารณากลั่นกรองร่วมกับ 20 หน่วยงาน 8 กระทรวง รวมทั้งภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แผนฉบับนี้สามารถผลักดันการค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ในทุกระดับและทุกภาคส่วน ตั้งแต่ในระดับประเทศ ซึ่งจะช่วยพัฒนาและส่งเสริมแพลตฟอร์มของไทยให้มีความเข้มแข็ง ลดความได้เปรียบของแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ และลดความซ้ำซ้อนในการทำงานของทุกภาคส่วน ซึ่งจะนำไปสู่การมีระบบ Big Data ของประเทศที่มีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังเพิ่มรายได้ด้วยการขยายโอกาสและเพิ่มช่องทางการตลาดทั้งในและตลาดต่างประเทศให้กับผู้ประกอบการรวมถึงเกษตรกรไทย และการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจด้วยการลดต้นทุนและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำที่สะดวกยิ่งขึ้น การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทย รวมถึงการพัฒนายกระดับโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยสภาพแวดล้อมด้านการค้าออนไลน์ทั้งระบบ ผู้ซื้อสินค้าจะมีความสะดวกสบายในการซื้อของออนไลน์ยิ่งขึ้น ภายใต้ระบบการคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มแข็งเพื่อสร้างความมั่นใจในการทำธุรกรรมออนไลน์

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาพาณิชย อิเล็กทรอนิกส์ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2564-2565) ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 1. การพัฒนาแพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ (e-Marketplace) เพื่อส่งเสริมการค้าภายในประเทศและการค้าข้ามพรมแดน (Enhancement and Promotion) 2. การพัฒนาสภาพแวดล้อมและปัจจัยสนับสนุนการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในทุกด้านให้พร้อมรองรับการเติบโตของการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Ecosystem and Enabling Factors) 3.การสร้างความเชื่อมั่นในธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Trust and Sustainability) 4. การพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถใช้ประโยชน์จากธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Competency Building) พร้อมทั้งรองรับการเติบโตของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ครอบคลุมการก้าวเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และสอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

นายฉันทพัทธ์ ปัญจมานนท์  ผู้อำนวยการสำนักตลาดพาณิชย์ดิจิทัล  กล่าวว่า แผนนี้ได้จัดทำมา  4 ปี แล้วมาสำเร็จในปีนี้และได้นำเข้าครม.เพื่อให้เห็นชอบนี้ เนื่องจากเป็นนโยบายที่สอดรับกับสถานการณ์การค้าในโลกยุคใหม่และกระทรวงพาณิชย์เป็นส่วนหนึ่งจะต้องปรับตัวขณะเดียวกันก่อนแผนนี้จะได้รับการอนุมัติจากครม.นั้น ทางกระทรวงพาณิชย์โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้รับนโยบายให้ปรับกลยุทธ์ในการทำงานโดยเฉพาะการทำการค้าออนไลน์และการเจรจาข้ามประเทศด้วยระบบออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง

9114


นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า การลงทุนของบริษัท มุ่งเน้นผลักดันธุรกิจเข้าสู่คาร์บอนนิวทรัล (Carbon–neutral) [pr] และการลงทุนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มมูลค่าหรือต่อยอดและส่งเสริมให้ภาพรวมของบริษัทเติบโตยั่งยืนได้ระยะข้างหน้า เพื่อลดความเสี่ยงที่ตลาดลดการใช้น้ำมันรถยนต์ในระยะ 10-15ปีข้าง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เงินลงทุนของบริษัทช่วง 5 ปีข้างหน้า(ปี 2565-2569) วางงบไว้ที่88,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนธุรกิจ BCPG สูงถึง 73% สำหรับการขยายพอร์ตโรงไฟฟ้าสีเขียวของ BCPG เพื่อเข้าสู่คาร์บอนนิวทรัล ให้ได้เร็วที่สุด  ส่วนที่เหลือเป็น BBGI 6% ,ธุรกิจ MKBG 8% ,ธุรกิจ RFBG 7% และธุรกิจใหม่ New S-curve 6% ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาด้วย  อย่างเช่นที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในธุรกิจไบโอเบส ต่อยอดการผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า เช่น ยา อาหาร และเครื่องสำอางค์  ซึ่งใช้เงินลงทุนไม่สูงแต่มีกำไร  

"แนวโน้มผลการดำเนินงานปีนี้ ถือเป็นปีที่ดี ท่ามกลางโควิด-19ยังแพร่ระบาด ซึ่งบริษัทสามารถบริหารจัดการได้ดีต่อเนื่องจากปีก่อนและธุรกิจใหม่ๆทั้ง 5 ธุรกิจ นปีนี้สร้างเติบโตที่ดี  และการลงทุนพิจารณาลงทุธุรกิจใหม่จะช่วยต่อยอดและส่งเสริมให้ภาพรวมของบริษัทเติบโตยั่งยืนได้ โดยช่วงที่เหลือปีนี้ บริษัทยังมีความเป็นไปได้ท่ีจะมีดีลซื้อกิจการและร่วมลงทุน ในธุรกิจใหม่อื่นๆ ก็ยังมีการเจรจาหลายที่อยู่ต่อเนื่องตลอดเวลา"

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า  พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและมีแผนที่จะเข้าซื้อกิจการธุรกิจขุดเจาะสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติมอีก โดยยังคงอยู่ในแทบทะเลเหนือ ประเทศนอร์เวย์ เพราะถือว่าเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่และมีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด

ในส่วนธุรกิจต้นน้ำ (Natural Resources Business) โดย บริษัท OKEA ซึ่งเป็นบริษัทที่สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ในนอร์เวย์ของกลุ่มบางจากฯ ที่ได้สิทธิ์สำรวจและพัฒนาในหลุมแหล่งใหม่ คือ Yme  คาดว่า จะมีน้ำมันหยดแรกจากบ่อ ช่วงเดือนก.ย.ถึงต้นเดือนต.ค.นี้  ทำให้มีกำลังการกลั่นเพิ่มอีก 5,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันที่ 10,000 บาร์เรลต่อวัน รวมเป็น  15,000 บาร์เรลต่อวัน

และในจังหวะน้ำมันอยู่ในระดับค่อนข้างสูงราว 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  จะส่งผลให้ OKEA มีทั้งกระเงินสดและผลประกอบการแข็งแกร่งมากขึ้นในปีนี้และยังมีโอกาสเติบโต สร้างรายได้ที่ดีกลับมาให้บริษัท ปัจจุบันพอร์ต OKEA เป็นแก๊ส 50% และน้ำมันอีก 50%   

ด้านความคืบหน้าการนำ บริษัท บีบีจีไอ หรือ BBGI  ซึ่งเป็นธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ  คาดว่า ก.ล.ต.จะนับหนึ่งไฟลิ่งได้ ช่วงเดือนก.ย.นี้ และเข้าเทรดในตลาดได้ช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 บริษัทตั้งเป้าอิบิทดาธุรกิจนี้ ที่ 50%ในปี2569 

9115
อื่นๆ / ข้าวออแกนิกปลอดสารพิษแท้ 100%
« เมื่อ: 30 2021-08-30 2021 06:%i:1630280517 »
ข้าวออแกนิกปลอดสารแท้ 100% ข้าวปลอดสารเคมีสุรินทร์ [pr]  ข้าวเกษตรอินทรีย์ส่งทั่วไทย [pr]#ข้าวออแกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิค หรือ #ข้าวออร์แกนิก หรือ "#ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (#OranicRice)
ข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก (#OranicFood) หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาไทยว่า "ข้าวเกษตรอินทรีย์" หรือ "ข้าวอินทรีย์" / ข้าวมะลินิลเพื่อสุขภาพ [pr]  คือ ข้าวที่ผ่านการผลิตทางการเกษตรโดยไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี หรือวัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น (รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ ข้าวที่ไม่ตัดต่อทางพันธุกรรม) กระบวนการผลิตข้าวไม่มีการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช ก่อนการปลูกข้าวจะต้องเตรียมหน้าดินก่อนด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกขั้นตอนการผลิตข้าวจะไร้สารปนเปื้อนที่เกิดมนุษย์ จะไม่ผ่านการฉายรังสี ไม่เพิ่มเติมสิ่งปรุงแต่งลงไปในข้าว 




  ข้าวหอมมะลิสุขภาพข้าวออแกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิค หรือ ข้าวออร์แกนิก หรือ "ข้าวเกษตรอินทรีย์"  (Oranic Rice)   ข้าวกล้องหอมมะลิเกษตรอินทรีย์ คืออะไร?
1. ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนมากจากธรรมชาติ โดยข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารสังเคราะห์ใด ๆ ในการเพาะปลูก ข้าวกล้องปะกาอำปึลอินทรีย์เลย ข้าวก็จะถูกปลูกและเจริญเติบโตมาด้วยอาหารจากธรรมชาติล้วน ๆ ส่วนข้าวก็จะเป็นการปลูกในนา ไม่ใส่วัตถุสังเคราะห์ใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยวิทยาศาสตร์ และสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้แต่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกจากธรรมชาติในการเพาะปลูกข้าว ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวที่นำมาเพาะปลูกจะต้องไม่มีตัดต่อพันธุกรรม และต้องมีการเตรียมหน้าดินก่อนการเพาะปลูกข้าวด้วยวิธีธรรมชาติ คือ จะต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าเป็นการสร้างอาหารแบบธรรมชาติอย่างแท้จริง 100% มีกลิ่นหอมตามแบบธรรมชาติ ทุกขั้นตอนในการปลูกข้าวและการแปรรูปข้าวจะต้องอยู่ในมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนประกอบทุกอย่างจึงสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษตกค้างหรือสารก่อมะเร็ง
2. ข้าวออแกนิคจะไม่มีการใช้สารเคมีใด ๆ เลย ส่วนประกอบทุกอย่างจะต้องมาจากธรรมชาติ เพราะถ้ามีการใช้สารเคมีก็จะไม่ถือว่าเป็นข้าวออแกนิค ซึ่งการไม่ใช้สารเคมีที่ว่านั้นหมายถึง การไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี 
3. ไม่ก่อให้เกิดมลพิษในกระบวนการปลูก   ข้าวหอมมะลิแดงเกษตรอินทรีย์   เพราะข้าวออแกนิคนั้น นอกจากจะมุ้งเน้นให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีแล้ว จุดประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือการช่วยลดมลพิษให้กับธรรมชาติ เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการใช้สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี หรือสารเร่งการเจริญเติบโตต่าง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในดิน ในน้ำ และในอากาศ ซึ่งกว่าจะย่อยสลายไปได้บางทีก็อาจใช้ระยะเวลาเป็นสิบ ๆ ปี ซึ่งวิธีการปลูก  กลุ่มข้าวกล้องหอมมะลินิลอินทรีย์ แบบธรรมชาตินี้เองจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยฟื้นฟูธรรมชาติที่เสียไป เพราะนอกจากจะได้รับประทานข้าวที่ปลอดสารพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

ข้าว Hor.Boutique ข้าวอินทรีย์สุรินทร์   ข้าวกล้องหอมมะลิแดงorganic
277 หมู่ 14 ถ.พิชิตชัย ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ 32000
โทร. 092-8245655
website : https://xn--12cbh7f2bxa6ba6b0a4lsdyb.net/
Line: @Hor.Boutique

เรามีข้าวอินทรีย์ 7 ประเภทครับ
1.  ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษ
2.  ข้าวกล้องหอมมะลิorganic
3.ข้าวปะกาอำปึล
4.  ข้าวผสมหลายสายพันธุ์ปลอดสารเคมีจังหวัดสุรินทร์
5.  ข้าวกล้องเกษตรอินทรีย์หอมมะลิแดง [pr]6.  ข้าวกล้องหอมมะลินิลเกษตรอินทรีย์สุรินทร์7. ข้าวกล้องไรซ์เบอร์รี่อินทรีย์


#ข้าวออร์แกนิกสุรินทร์  #ข้าวออแกนิคสุรินทร์  #ข้าวออแกนิกสุรินทร์   #ข้าวอินทรีย์สุรินทร์  #ข้าวสุขภาพสุรินทร์
 

 

 

 

 

 

 
 

9116
ข้อมูล หอพัก บ้านเช่า อพาร์ทเม้นท์ คอนโด หอพักสตรี หอพักชาย โีรงแรม รีสอร์ท จากทั่วประเทศ สะดวกในการค้นหาด้วยบริการแผนที่ทางดาวเทียม
[pr] ขายคอนโด [pr]

9117


บริษัทกลางฯ จัดทำโครงการ“การจ่ายค่าสินไหมทดแทนเกินความคาดหมาย [pr]” เพื่อผู้ประสบภัยจากรถทุกคนได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายด้วยความสะดวก รวดเร็ว


เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากรถ และรถที่เกิดเหตุนั้นมีประกันภัย พ.ร.บ. ผู้ประสบภัยจากรถทุกคนจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายทันทีจาก พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ โดยบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ได้มุ่งมั่นพัฒนาระบบการจัดการสินไหมทดแทนเพื่อให้ผู้ประสบภัยหรือผู้สูญเสียได้รับการเยียวยาด้วยความสะดวก รวดเร็ว ภายใต้โครงการ “การจ่ายค่าสินไหมเหนือความคาดหมาย” เพื่อดำเนินการเยียวยาให้กับผู้ประสบภัยหรือทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัย อย่างรวดเร็วของคนทั่วไปใน 5 กลุ่มความสูญเสีย ซึ่งเรียกว่าการจ่าย“5จ กรณีเสียชีวิตมีการไปเยียวยา การจ่ายหน้างานศพ หรือหน้าห้องนิติเวช,การจ่ายค่าชดเชยรายวัน,การจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น,การจ่ายค่าอนามัยในเร็ววัน และการจ่ายข้างเตียงนอนรักษาขณะอยู่ในโรงพยาบาล

การจ่ายหน้างานศพหรือหน้าห้องนิติเวช จะเป็นค่าเสียหายเบื้องต้นหรือค่าสินไหมทดแทน กรณีผู้ประสบภัยเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ โดยจ่ายให้ทายาทที่โรงพยาบาล (หน้าห้องนิติเวช) กรณีผู้ประสบภัยบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา จะทำการจ่ายให้ทายาทในงานบำเพ็ญกุศลงานศพ

การจ่ายค่าชดเชยรายวัน เป็นการจ่ายค่าชดเชยการขาดรายได้ระหว่างพักรักษาอาการบาดเจ็บในโรงพยาบาล จะดำเนินการจ่ายภายในเวลาที่ผู้ประสบภัยยังรักษาตัวโรงพยาบาล หรือในวันที่ผู้ประสบภัยยื่นคำร้อง

การจ่ายค่าอนามัยด้วยความเร็ว เป็นการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายอื่นที่ไม่ใช่ค่ารักษาพยาบาล เช่น ค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานในปัจจุบันและอนาคต โดยดำเนินการจ่ายภายในวันที่ผู้ประสบภัยมายื่นเรื่องเบิก

การจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นอย่างเคร่งครัด เป็นการจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น ให้แก่ผู้ประสบภัยจากรถที่ได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่บริษัทได้รับคำร้องขอ โดยไม่รอการพิสูจน์ความรับผิด


การจ่ายตามหลักสำรองจ่าย เป็นการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอาการบาดเจ็บ,พิการหรือเสียชีวิต เงื่อนไข เมื่อรถที่ร่วมก่อให้เกิดอุบัติเหตุทุกคัน มีประกันภัย พ.ร.บ. คุ้มครองขณะเกิดเหตุ เฉพาะผู้โดยสาร จะได้รับความคุ้มครองทันที กรณีได้รับบาดเจ็บคุ้มครองเป็นค่ารักษาพยาบาล โดยจ่ายให้กับผู้ประสบภัยหรือทายาท

สอบถามการทำประกันภัย พ.ร.บ.และตรวจสอบการใช้สิทธิตามประกันภัย พ.ร.บ.ได้ที่ www.rvp.co.th [pr] หรือติดต่อ Call Center บริษัทกลางฯ โทร 1791 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ไลน์ @iRVP

9118
Mobile Banking ธนาคารไหนดีกับแม่ค้าออนไลน์
https://www.chatstickmarket.com/single-post/mobilebanking-whichbankisgoodforonlinemerchants
[pr]

9119


​​​วันนี้ (28 ส.ค.64) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ มีการบรรยายผ่านระบบซูม (Zoom Meetings) ให้ความรู้เรื่อง ‘การทำศูนย์พักคอยในชุมชน’ หรือ ‘Community Isolation (CI) [pr] เพื่อดูแลผู้ติดเชื้อโควิดในชุมชน โดยนายอดิเรก แสงใสแก้ว อุปนายก และเลขาธิการสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นผู้บรรยายให้ความรู้เรื่องการจัดทำ CI ซึ่งมีผู้นำชุมชนต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ พอช.ประมาณ 50 คนร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์

นายอดิเรก กล่าวว่า การจัดตั้ง CI จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น การจัดตั้ง CI ที่เขตราษฎร์บูรณะ ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมวางระบบ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเอกชน (ศรีไทยซุปเปอร์แวร์) ให้ใช้โกดังเก็บสินค้าที่ไม่ได้ใช้งาน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื้อที่ประมาณ 2,000 ตารางเมตร มาปรับปรุงเป็น CI โดยติดตั้งเตียงกระดาษ ระบบประปา ไฟฟ้า ระบบระบายอากาศ ระบบน้ำทิ้ง การจัดการขยะติดเชื้อ ห้องอาบน้ำ ห้องสุขา ติดตั้งระบบวงจรปิดดูแลผู้ป่วย เพื่อลดการสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งมีห้องความดันลบสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ใช้เวลาดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ประมาณ 10 วันจึงเปิดบริการได้ โดยมีโรงพยาบาลประชาพัฒน์ดูแลผู้ป่วย รองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 300 เตียง และตั้งเป้าว่า CI แห่งนี้จะช่วยเหลือผู้ป่วยได้ประมาณ 10,000 คน
​​
นายอดิเรก กล่าวด้วยว่า การจัดตั้ง CI ในชุมชนนั้น ผู้นำชุมชนจะต้องชี้แจงสร้างความเข้าใจกับชาวชุมชน และท้องถิ่น เพราะบางคนอาจกลัวว่า CI จะเป็นแหล่งแพร่เชื้อ ทำให้เกิดการต่อต้าน และต้องมีการจัดวางระบบเพื่อความปลอดภัย ได้มาตรฐาน และเน้นการใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่ชุมชนมีอยู่ หรือสินค้ามือสองมาปรับปรุงเป็นอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อความประหยัด

ทั้งนี้สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรฯ สนับสนุนการจัดตั้ง CI ในชุมชนต่างๆ โดยล่าสุด มีการจัดตั้งไปแล้วใน 4 ชุมชน เช่น ชุมชนคลองลัดภาชี เขตภาษีเจริญ ชุมชนคลองลำนุ่น เขตคันนายาว ชุมชนรุ่งมณี เขตวังทองหลาง ฯลฯ ทั้งหมดเป็น CI ขนาดเล็กตามสภาพของชุมชน และยังมีการจัดเตรียม CI อีก 4 แห่งในกรุงเทพฯ คือ 1.ชุมชนตึกแดง เขตบางซื่อ ใช้ศูนย์เด็กเล็กในชุมชนเป็น CI ขณะนี้อยู่ในระหว่างปรับปรุง รองรับผู้ติดเชื้อได้ประมาณ 50 คน 2.ชุมชนบ้านมั่นคงสวนพลู เขตสาธร 3.บริเวณลานกีฬาใต้ทางด่วนชุมชนภักดี เขตจตุจักร รองรับ 7 ชุมชนโดยรอบ และ 4. ชุมชนนันทิศา เขตคลองสามวา

ทั้งนี้สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเป็นที่ปรึกษาในการวางระบบและให้ความรู้ กระบวนการ ขั้นตอน การออกแบบ และจัดทำ CI ส่วนสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ จะสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงสถานที่ ระบบสาธารณูปโภค การจัดทำครัวกลาง ฯลฯ ขณะที่ชุมชนจะจัดเตรียมสถานที่ อาสาสมัครดูแลผู้ป่วย ประสานกับ สปสช.และศูนย์สาธารณสุข กทม.เพื่อจ่ายยา อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องวัดอ๊อกซิเจนในเลือด ปรอทวัดไข้ และดูแลผู้ป่วยผ่านระบบ telemedicine หรือให้คำแนะนำผ่านโทรศัพท์ หรือสื่อออนไลน์

9120


จาก 'ธุรกิจด้านวิศวกรรม' สู่ 'ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน [pr]' ของ 'ตระกูลศักดิ์สิทธิเสรีกุล' กลุ่มผู้หุ้นใหญ่สัดส่วนจำนวน 28.2% (ตัวเลข ณ หลังการเสนอขายหุ้นไอพีโอ) โดยเตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวน 320 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ใน ราคาหุ้นละ 3.90 บาท และเข้าซื้อขายวันแรก (เทรด) ต้นเดือน ก.ย. 2564 นี้

เมื่อธุรกิจดั้งเดิม (ธุรกิจด้านวิศวกรรม) ของ บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV คิดเป็นสัดส่วนรายได้ปัจจุบัน 60% เป็นเหมือนธุรกิจซื้อมาขายไป (เทรดดิ้ง) จึงไม่มีสินทรัพย์สร้างความมั่นคงให้ธุรกิจในอนาคต ดังนั้น กิจวัตรประจำวันเปรียบเหมือนสุนัขที่ต้องออกล่าเนื้อทุกวัน !! ทำให้ 6-7 ปีก่อน บริษัทจึงตัดสินใจนำประสบการณ์กว่า 15 ปี ในให้บริการงานก่อสร้างโรงไฟฟ้ากลุ่มพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวมวล ขยะ และชีวภาพ และงานก่อสร้างอาคารและโครงสร้างพื้นฐานทั่วไป โดยดำเนินงานให้บริการงานด้านการออกแบบ จัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และก่อสร้างให้กับลูกค้า 

มุ่งสู่ 'ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน' หวังสร้างสินทรัพย์ที่มั่งคงและสร้างพอร์ต 'รายได้ประจำ' (Recurring Income) ต่อเนื่อง สะท้อนผ่านปัจจุบันบริษัทมีโรงไฟฟ้าที่จำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว จำนวน 4 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 26.2 เมกะวัตต์ มีปริมาณขายไฟฟ้าตามสัญญา 23.6 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 โครงการ และโรงไฟฟ้าขยะ 1 โครงการ ทำให้ผลการดำเนินงานมีความมั่นคงค่อนข้างสูงในระยะยาว จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 20 ปี กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

ปัจจุบัน CV แบ่งธุรกิจเป็น 3 ธุรกิจ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า (Power Producer) ที่มุ่งเน้นพัฒนาและกระจายการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยีจากพลังงานหมุนเวียนหลากหลายประเภท และในกลุ่มบริษัทยังมีโครงการโรงคัดแยกและแปรรูปขยะมูลฝอยเพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตประมาณ 120 ตันต่อวัน และ 200 ตันต่อวัน ตามลำดับ 

และโครงการโรงไฟฟ้าแบบพลังงานความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าชธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักที่อยู่ระหว่างเข้าซื้อกิจการ จำนวน 1 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้ง 7.36 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่อยู่ระหว่างพัฒนาในต่างประเทศ จำนวน 1 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 6 เมกะวัตต์

ADVERTISEMENT


2.ธุรกิจด้านงานวิศวกรรม (EPC Turnkey) มุ่งเน้นให้บริการงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเชื้อเพลิง ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพ และงานโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน โดยดำเนินงานให้บริการงานด้านการออกแบบ จัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์และก่อสร้าง (EPC) แบบครบวงจร ให้แก่โรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัทและลูกค้าทั่วไปมากกว่า 14 โครงการ ที่ดำเนินกิจการภายใต้ SBC และ SBE ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้น 100% 

โดยงาน EPC ถือเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าให้มีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพและนำจุดแข็งด้านทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง การเดินเครื่องจักรและการบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าทำให้มีความเข้าใจในเทคนิคการออกแบบ การเลือกใช้เทคโนโลยี การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่ลูกค้าในการควบคุมต้นทุนอย่างเหมาะสม จึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในลักษณะจ้างเหมาแบบครบวงจร (Turnkey) มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบโครงการขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ มูลค่าโครงการตามสัญญาตั้งแต่ 50 ล้านบาท จนถึง 2,000 ล้านบาท

และ 3.ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน (Power Plant Support) ให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance: O&M) ให้แก่ลูกค้าโรงไฟฟ้าทั่วไป พร้อมมุ่งเน้นให้บริการเดินเครื่องและบำรุงโรงไฟฟ้ากลุ่มพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน ที่ดำเนินกิจการภายใต้ SBE โดยบริษัทฯ มีทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการปฎิบัติงานเดินเครื่องและบำรุงรักษาที่พร้อมให้บริการอย่างครบวงจร


'เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. โคลเวอร์ เพาเวอร์ หรือ CV แจกแจงสตอรี่สร้างการเติบโตให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังว่า บริษัทมีเป้าหมายการเข้าระดมทุนตลาดหุ้นครั้งนี้ !! เพื่อต้องการ 'ปลดล็อก' ข้อจำกัดเรื่อง 'เงินลงทุน' เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันรองรับโอกาสสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต สะท้อนผ่านการนำเงินระดมทุนขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ยิ่งเฉพาะใน 'ธุรกิจโรงไฟฟ้า' และ ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียน ใช้เพื่อการพัฒนาโครงการ และต่อยอดโครงการใหม่ๆ ของกลุ่มบริษัท 

ทั้งนี้ ด้วยธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูงในครั้งแรก ก่อนจะทยอยรับรับรู้รายได้เข้ามา ฉะนั้น เมื่อมีเป้าหมายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในอนาคตหลายโครงการ เรื่องเงินลงทุนทุนจึงมีข้อจำกัด ดังนั้น การระดมทุนจากตลาดหุ้นเปรียบเหมือนเป็นสปริงบอร์ดที่สามารถทำบริษัทลงทุนก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าได้มากขึ้นและเร็วขึ้นจะได้ไม่ตกขบวน... 

'การเข้าระดมทุน ของ CV ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ช่วยเสริมศักยภาพการดำเนินงานและฐานะการเงินเพื่อรองรับแผนขยายการลงทุนต่างๆ จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านงานวิศวกรรม ที่ส่งมอบผลงานให้บริการด้านวิศวกรรมออกแบบและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมาหลายโครงการ'

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายแผนธุรกิจ 3 ปีข้างหน้า (2564-2566) 'ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า' จะขึ้นแท่นดาวเด่นของบริษัท บ่งชี้ผ่านสัดส่วนรายได้กลายเป็น 60% จากปัจจุบัน 40% โดยบริษัทจะขยายธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะมุ่งเน้นลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนผ่านการพัฒนาโครงการเองหรือเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตร รวมถึงเข้า 'ซื้อกิจการ' (M&A) ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อให้บรรลุสู่เป้าหมาย

โดยปัจจุบัน CV มีโรงไฟฟ้าที่จำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว จำนวน 4 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 26.2 เมกะวัตต์ และมีปริมาณขายไฟฟ้าตามสัญญารวม 23.6 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 โครงการและโรงไฟฟ้าขยะ 1 โครงการ ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทมีความมั่นคงค่อนข้างสูงในระยะยาว จากการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)

ประกอบกับการขยายโอกาสเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศที่มีศักยภาพ อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2 โครงการ 39.8 เมกะวัตต์ ถือเป็นโอกาสในการต่อยอดไปสู่เป้าหมายที่จะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าซึ่งดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว และอยู่ระหว่างการพัฒนาให้มีกำลังการผลิตติดตั้ง จำนวนรวม 85 เมกะวัตต์ ภายในปี 2564 และ กำลังผลิต 180 เมกะวัตต์ภายในปี 2566

เขา บอกต่อว่า 'ธุรกิจด้านวิศวกรรม' ปัจจุบันสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 60% โดยบริษัทยังขยายการลงทุนควบคู่กับงานด้านวิศวกรรม (Valued EPC) แบบครบวงจรในกลุ่มเทคโนโลยีพลังงานจากเชื้อเพลิงชีวภาพ อาทิ ชีวมวล ขยะ และก๊าซชีวภาพรวมถึงพลังงานสะอาด ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Supporting) เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงในธุรกิจโรงไฟฟ้า 

โดยผ่านการเข้าประมูลเพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าในประเทศตามแผน AEDP 2018 ส่งเสริมการผลิตโรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มขึ้น โดยใช้ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับงาน EPC จากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าในประเทศ และโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจากเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งถือเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน รวมถึงสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพิจารณาถึงโอกาสทางธุรกิจ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดว่าจะได้รับ และพิจารณาจากฐานะทางการเงินและสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทฯ รวมถึงประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นประกอบการพิจารณาเข้าลงทุนในแต่ละโครงการ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท

สำหรับ 'จุดแข็ง' ต่างของบริษัททำให้ CV มีการการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันด้านการควบคุมต้นทุนของธุรกิจโรงไฟฟ้า ในการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และมีผลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมายที่วางไว้

นอกจากนี้ แหล่งที่มาของรายได้ CV ถือว่ามาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่มีความมั่นคงและเป็นรายได้เข้ามาต่อเนื่อง จากระยะเวลาทำสัญญาระยะยาว ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา CV ได้ศึกษาโอกาสเข้าลงทุนซื้อกิจการในโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่แล้ว รวมถึงการเข้าลงทุนพัฒนาโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

ท้ายสุด 'เศรษฐศิริ' ทิ้งท้ายไว้ว่า อนาคตธุรกิจโรงไฟฟ้าถือเป็นโอกาสในการต่อยอดผลการดำเนินงานของ CV และสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอในอนาคต และสิ่งสำคัญเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำเข้ามา

หน้า: 1 ... 606 607 [608] 609