กากเปรตเคยเป็นกาขโมยอาหารถวายสงฆ์... อหิเปรตเคยเป็นชาวนาเผาที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธะ
พระมหาโมคคัลลานเถระและพระลักขณเถระเดินลงจากภูขาคิชฌกูฎ เพื่อเข้าไปบิณฑบาต ในกรุงราชคฤห์ พระมหาโมคคัลลานะเห็นเปรต ๒ ตน คือ อหิเปรต และกากเปรต
วันแรก ท่านถามกากเปรตผู้ถูกไฟไหม้อัตภาพอยู่ว่า ลิ้นของเจ้ายาว ๕ โยชน์ หัวใหญ่ ๙ โยชน์ กายสูง ๒๕ โยชน์ ทำไมถึงมีไฟไหม้อยู่ เจ้าทำบาปอะไรมาหรือ? กากเปรตเล่าว่า ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ ตนเองเกิดเป็นกา เห็นพวกมนุษย์นำอาหารใส่เต็มบาตรแล้วถือไปเพื่อถวายแก่สงฆ์ ก็ได้บินมาคาบข้าวไป ๓ คำ ตายแล้วเกิดในอวจีนรก เพราะกรรมนั้น พ้นจากนรกแล้ว มาเกิดเป็นกากเปรตเสวยทุกข์อยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏนี้
วันต่อมา พระมหาโมคคัลลานะเห็นอหิเปรตจึงยิ้มแย้มออกมา พระลักขณะเห็นแล้วถามว่า เหตุไรท่านจึงยิ้มแย้ม? พระเถระตอบว่า "ไม่ใช่กาลที่จะตอบปัญหานี้ ขอให้ท่านถามผมอีกครั้ง ตอนพวกเราเข้าเฝ้าพระศาสดาเถิด"
เมื่อทั้งสองท่านเข้าเฝ้าพระศาสดา พระโมคคัลลานะก็ได้แจ้งว่า ผมเห็นอหิเปรต ผมจึงยิ้มแย้ม เปรตนั้นมีศีรษะเป็นมนุษย์แต่ลำตัวเป็นงูสูงประมาณ ๒๕ โยชน์ มีเปลวไฟลุกตั้งแต่ศีรษะ ไปถึงหางงูที่เดียว พระพุทธเจ้าทรงสดับแล้วทรงเป็นพยานให้ว่า "
โมคคัลลานะพูดความจริง แม้เราก็เคยเห็นเปรตนั้น ในวันที่เราบรรลุสัมโพธิญาณเหมือนกัน แต่เราไม่ได้พูดเพราะนึกเอ็นดูคนที่ไม่เชื่อ", จากนั้นตรัสเล่าเรื่องเปรต ๒๐ เรื่อง (รายละเอียดอยู่ในลักขณสังยุต, สํนิ.ข้อ ๒๙๘)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อกุศลกรรมที่อหิเปรตทำไว้ คือ ในชาติหนึ่งได้เป็นมนุษย์มีอาชีพทำนา ประชาชนสร้างบรรณศาลาถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ริมฝั่งแม่น้ำเขตกรุงพาราณสี เวลามหาชนมานมัสการและบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้เดินผ่านพื้นนาของชาวนาคนนี้ เขาจึงไม่พอใจ ได้แอบจุดไฟเผาบรรณศาลาตอนท่านไปบิณฑบาตในกรุงและทุบทำลายภาชนะต่างๆ มหาชนมาเห็นบรรณศาลาถูกไฟไหม้ถามกันว่า ใครหนอเผาที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้าได้? ชาวนาก็ประกาศ ว่าตนเองเป็นผู้เผา, เขาจึงถูกมหาชนทุบตีตาย เกิดในนรก พ้นจากนรกแล้วผลบาปที่เหลืออยู่ทำ ให้เกิดเป็นอหิเปรต, จบแล้วตรัสสอนว่า "
การทำบาปแล้วบาปกรรมนั้นยังไม่ให้ผล ก็เป็นเหมือน น้ำนมที่ถูกรีดใหม่ๆ ยังไม่แปรเปลี่ยนไป ต่อเมื่อกรรมให้ผล ผู้กระทำบาปย่อมประสบกับความ ทุกข์อย่างนี้ (=อย่างอหิเปรต)" แล้วตรัสภาษิตนี้
[pr]
อธิบายพุทธภาษิต
น้ำนมที่รีดใหม่ยังอุ่นๆ อยู่ ยังอยู่ในสภาพเดิมจนกว่าจะมีการใส่เปรียง เป็นต้น ลงไปผสม บาปกรรมที่บุคคลกำลังทำ ผลกรรมยังไม่ให้ผลก็ฉันนั้นเหมือนกัน,
ถ้าผลบาปให้ผลในขณะกำลังทำก็คงไม่มีใครทำบาปกรรม,
ขันธ์ [pr]ทั้งหลายของมนุษย์เกิด ด้วยกุศลกรรม กุศลรักษาไว้ เมื่อขันธ์ทั้งหลายของมนุษย์แตกทำลายไป บาปกรรมให้บังเกิดขันธ์ ทั้งหลายขึ้นในอบาย เช่น ขันธ์ทั้งหลายในนรก เมื่อนั้นก็ชื่อว่าบาปกรรมตามเผาผลาญคนพาล, เหมือนถ่านเพลิงถูกขี้เถ้ากลบไว้ เหยียบที่แรกยังไม่ร้อน เพราะเถ้ากลบอยู่จนเวลาผ่านไปก็ร้อน และไหม้ผู้นั้น (ดู ธ.อ.๒/๑๙๒-๑๙๖)
คติธรรมความรู้ มหาชนมาทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้า นาข้าวเสียหาย ชาวนาจึงเผาที่อยู่ของท่านทิ้ง
อกุศลจิตที่มุ่งทำลายที่อยู่ เกิดดับซ้ำแล้วซ้ำเล่า กรรมชั่วส่วนหนึ่งทำให้เขาเกิดในนรก กรรมชั่วอีกส่วนหนึ่ง รอให้ผลเมื่อเขาเกิดเป็นเปรต
บรรลุนิพพาน บรรลุธรรม ดวงตาเห็นธรรม ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน มรรคผลนิพพานมีจริง [pr]
อนุปุพพิกถา ๕ และ อริยสัจ ๔ การศึกษาตามลำดับลุ่มลึกลงสู่การพ้นทุกข์ [pr]
๖ ขั้นตอนสู่การบรรลุนิพพาน-guideline [pr]
นิพพาน [pr]
ธาตุ [pr]
โพชฌงค์ [pr]
อายตนะ [pr]
ขันธ์ [pr]
โพธิปักขิยธรรม [pr]
สังโยชน์ [pr]
ไตรลักษณ์ [pr]
ปฏิจจสมุปบาท [pr]
อินทรีย์ [pr]
อริยสัจ ๔ [pr]
กรรม [pr]
วัฏฏะ [pr]
วิวัฏฏะ [pr]
มหาสุญญตาสูตร [pr]
อรูปพรหมภูมิ ๔ [pr]
รูปพรหมภูมิ ๑๖ [pr]
อบายภูมิ ๔ – เดรัจฉานภูมิ [pr]
อบายภูมิ ๔ – อสุรกายภูมิ [pr]
อบายภูมิ ๔ – เปตภูมิ [pr]
อบายภูมิ ๔ – นรกภูมิ [pr]
กามสุคติภูมิ ๗ – สวรรค์ ๖ [pr]
ภพภูมิของสัตว์โลก ๓๑ ภูมิ [pr]
วัฏสงสาร สังสารวัฏ สงสารวัฏ [pr]
วิสุทธิ ๗ [pr]
มัคคสมังคี มรรคสมังคี [pr]
บันได ๑๐ ขั้น สู่อรหันต์ [pr]
สติปัฏฐาน ๔ [pr]
วิปัสสนากัมมัฏฐาน [pr]
สมถกัมมัฏฐาน [pr]
วิปัสสนาญาณ ๙ [pr]
วิปัสสนาญาณ ๑๖ [pr]
มรรคมีองค์ ๘ [pr]
ความสุขที่แท้จริง [pr]
โสดาบัน [pr]
สกทาคามี [pr]
อนาคามี [pr]
พระอรหันต์ ๔ ประเภท [pr]
พระอรหันต์ [pr]
โลกวิปัตติสูตร โลกธรรม ๘ [pr]
[url=https://www.nirvanattain.com/%E0%B8